บทความที่ได้รับความนิยม

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ประวัติอีหม่ามทั้ง 4 ในอิสลามสุนหนี่ ตอนที่สอง


   อิมามมาลิก

             นครมะดีนะฮฺเป็นศูนย์การศึกษาอิสลามที่ผลิตอุลามาอ์อย่างต่อเนื่อง ในช่วงปลายศตวรรษแรกแห่งปีฮิจญ์เราะฮฺศักราช ซึ่งเป็นช่วงที่อาณาจักรอิสลามกำลังรุ่งเรืองที่สุด ในขณะที่ยุโรปยังอยู่ในยุคมือ ยุคแห่งอวิชา นครมะดีนะฮฺก็ได้ให้กำเนิดอุลามาอ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้ก่อตั้งสำนักศึกษานิติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางและแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของสำนัก อะฮฺลุล หะดีษหรือสำนักวจนะนิยม ท่านคือ ท่านคือ มาลิก บิน อนัส อิมามดารุลฮิจญ์เราะฮฺ

1.ชื่อและวงศ์ตระกูล

               ท่านมีชื่อว่า อบู อับดุลลอฮฺ อนัส บิน มาลิก บิน อบีอฺามิรฺ อัลอัศบะหีย์ มาจากเผ่าหิมยัรฺ บิน สะบะ และเผ่ายัชญุบ บิน เกาะหฺฏอน เกิดเมื่อปีศิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 95 และเสียชีวิตที่นครมะดีนะฮฺ ในปี 179 เมื่ออายุได้ 84 ปี ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวแห่งวิชาการ ซึ่งทวดของท่านอบูอฺามิรฺเป็นเศาะหาบะฮฺผู้สูงส่งคนหนึ่ง ได้เข้าร่วมทำศึกกับท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อลัยฮิ วะสัลลัมในทุกสมรภูมิ ยกเว้นบะดัร ส่วนปู่ของท่านที่ชื่อมาลิก เป็นอุลามาอ์ใหญ่ในสมัยตาบิอีน และเป็นหนึ่งในสี่คนที่หามศพของท่านเคาะลีฟะฮฺอุษมานไปฝังตอนกลางคืน


2.อาจารย์และศาสนุศิษย์

             ท่านเป็นอุลามาอ์ที่มีความรู้กว้างขวางด้านสายรายหะดีษ และด้านนิติศาสตร์หรือฟิกฮ์อิสลามจนกลายเป็นอิมาม(ผู้นำ)ด้านหะดีษและฟิกฮ์ ท่านได้รับการประสาทความรู้จากบรรดาอุละมาอฺตาบิอีนที่ทรงคุณวุฒิมากมาย อาทิเช่น อัซฺซุฮฺรีย์ ยะหฺยา อัลอันศอรีย์ นาฟิอฺ เมาลาอิบนุอุมัร มุหัมมัด บิน อัลมุนกะดิร ฮิชาม บิน อุรฺวะฮฺ สะอีด อัลมักบุรีย์ ฯลฯ ส่วนบรรดาศานุศิษย์ที่อยู่แนวหน้าของท่านได้แก่ อัชชาฟิอีย์ มุหัมมัด บิน อิลรอฮีม ลิน ดีนารฺ อบูฮิชาม อัลมุฆีเราะฮฺ บิน อัลดุรฺเราะฮฺมาน อัลมัคซูมีย์ อัลดุลอะซีซฺ บิน อบีหฺาซิม มะอฺนิน บิน อีสา อัลก๊อซฺซาซฺ อับดุลลอฮฺ บิน มูสา อัลเกาะอฺนะบีย์ ฯลฯ สำหรับผู้ที่ติดตามชีวประวัติของท่านจะพบว่าท่านเป็นยอดอัจฉริยะคนหนึ่ง ซึ่งบรรดาอุลามาอ์ทุกสารทิศต่างมาตักตวงหาความรู้จากท่าน แม้กระทั่งผู้เป็นสหายและอาจารย์ของท่านเอง อาทิเช่น สุฟยาน อัษเษารีย์ สุฟยาน อุยัยนะฮฺ อิบนุล มุบาร็อก อัลเอาซฺาอีย์ เป็นต้น อิมามมาลิกกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า บรรดาอาจารย์ที่ฉันได้ร่ำเรียนมา ส่วนใหญ่แล้วจะมาถามหาความรู้จากฉันและขอคำชี้ขาดในเรื่องศาสนาจากฉัน

3.ความรู้เกี่ยวกับนิติศาสตร์และคำชม

             1. ชาฟิอีย์กล่าวว่า มาลิกเป็นหุจญะฮฺ (หลักฐาน) ของอัลลอฮฺต่อมัคลูกของท่านท่านกล่าวอีกว่า เมื่อมีการกล่าวถึงอุลามาอ์ มาลิกคือดาว ไม่มีผู้ใดที่เอื้อประโยชน์แก่ ฉันมากกว่ามาลิก
            2. อิบนุมะฮฺดี กล่าวว่า ฉันไม่เห็นมีผู้ใดที่มีสติปัญญาสมบูรณ์ และมีความยำเกรงมากกว่ามาลิก
             3. ยะหฺยา บิน สะอีด อัลก๊อฏฏอน กล่าวว่า ไม่มีชนกลุ่มใดที่มีการรายงานหะดีษที่ถูกต้องมากกว่ามาลิก
             4. บุคอรีย์กล่าวว่า สายรายงานที่ถูกต้องที่สุดคือ สายรายงานจากมาลิก จากนาฟิอฺ จากอิบนุอุมัร

4.ความรู้และจุดยืนที่มั่นคง

             ท่านเป็นคนที่เกลียดในความรู้ที่ชอบใช้ปัญญาเป็นบรรทัดฐานที่สุด และคำถามที่ไร้สาระ ท่านเป็นคนที่ละเอียดอ่อนในด้านการวิจารณ์นักรายงาน มีคนที่เรียบง่าย มีความจำที่ดีเลิศ เป็นคนที่เชิดชูวิชาความรู้และศาสนาอย่างมาก เป็นคนที่มั่นคงในศาสนา ความสุขทางโลกไม่สามารถมาหลอกล่อและยั่วยวนท่านได้เลย ท่านไม่เกรงกลัวสุลต่านหรือผู้ปกครอง เป็นคนที่พูดจริงและตรงไปตรงมา ในสมัยการปกครองของอาณาจักรอับบาสิยะฮฺท่านถูกทดสอบด้วยการถูกโบย เพราะท่านไปให้คำชี้ขาดว่าการหย่าเพราะถูกบังคับนั้นไม่เป็นผล ในขณะที่ทางฝ่ายปกครองได้บังคับประชาชนให้คำสาบานด้วยการหย่าภรรยาในขณะที่ให้สัตยาบัน ซึ่งทางฝ่ายปกครองเห็นว่าคำฟัตวาดังกล่าวเป็นการทำลายคำสัตยาบันที่ได้ทำไว้

5.หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์นิติศาสตร์

            ท่านเป็นผู้ที่ได้รับมรดกด้านแนวคิดของสำนักคิดหรือสถาบันการศึกษาอิสลามแห่งนครมะดีนะฮฺอันเป็นสถานที่ประทานวะหฺยูแก่ท่านนบี ดังนั้นจึงเป็นคนที่รอบรู้มากที่สุดเกี่ยวกับแนวคิดด้านนิติศาสตร์ของอุลามาอ์มะดีนะฮฺก่อนหน้าท่าน ซึ่งแนวคิดด้านนิติศาสตร์ส่วนใหญ่ท่านได้รับการประสาทมาจากบรรดาเหล่านั้น ดังนั้นจึงไม่พบว่าท่านได้ทำการบันทึกเกี่ยวกับหลักเกณฑ์หรือแนวทางในการศึกษาและวิเคราะห์นิติศาสตร์แต่อย่างใด ถึงแม้ว่าจะมีการกล่าวถึงบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งพอจะจับใจความได้ดังนี้ คือ อัล- กิตาบ (อัลกุรอาน) สุนนะฮฺ อิจญ์มาอฺ การปฏิบัตของชาวมะดีนะฮฺ กิยาส คำพูดของเศาะหาบะฮฺ ผลประโยชน์ (มะศอลิหฺ) ขนบธรรมเนียมประเพณี(อุรฟ์) การป้องกันไว้ก่อน(สัดดุล ซะรออิอฺ) การเห็นชอบ (อิสติหฺสาน) และอิสติศหฺาบ





   อิมามชาฟีอี
              ท่านอิหม่ามซาฟีอีมีนามแฝงว่า ท่านอาบูอับดุลเลาะห์ เกิดเดือนรอฮับ ปีที่ 160 ฮิจเราะห์ศักราชตรงกับปีที่ 767 มีลาดี
            บิดาของท่านอิหม่ามเป็นชาวฮิยาดและยากจน เพราะเหตุนี้จึงได้อพยพจากนครมักกะห์สู่ประเทศชามและได้พักใช้ชีวิตอยู่ที่มณฑลฆุซซะห์ และมณฑลอัสกอลานี ซึ่งอยู่ในประเทศปาเลสไตย์ปัจจุบัน และต่อมาบิดาของท่านอิหม่ามได้ถึงแก่กรรมในขณะที่ท่านอิหม่ามซาฟีอีมีอายุได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สืบเชื่อสายจากทางบิดา
             มูฮำหมัด บุตรของท่านอิดริส อิดริสบุตรอับบาซ อับบาซบุตรอุสมาน อุสมานบุตรชาเฟียด์ ซาเฟียอ์บุตรซาอิบ ซาอิบบุตรอับดุยาซีด อับดุยาซีดบุตรฮาซิม ฮาซิมบุตรมุตตอลิบ มุตตอลิบบุตรอัลดิมานาฟ

สืบเชื้อสายจากสามมารดา
             มารดาอิหม่ามสืบเชื้อสายจากตระกูลอาซัด ซึ่งถือเป็นวงค์กระกูลที่มีเกียรติและประเสริฐ ที่ท่านร่อซู้ลลัลเลาะห์ได้ทรงรับรองไว้ว่า อัลอาซัด อัสดุลเลาะห์ การที่ท่านร่อซู้ลได้ฝากอัลอาซัดไปยังคำว่า อัลเลาะห์ ณ ที่นี้นั้น เปรียบได้ดังคำว่า บับตุ้ลเลาะห์ และ นาก่อตุ้ลเลาะห์

ภรรยาของอิหม่ามซาฟีอี
             อิหม่ามได้ทำการสมรสกับพระนางฮามีดะห์ บุตรสาวของท่านนาเฟียอ์ หลานสาวของท่านอุสมาน บุตรท่านอัฟฟาน หลังจากที่ท่านอิหม่ามมาเล็ก ได้สิ้นพระชนม์แล้ว ( ถึงแก่กรรม) อายุของท่านอิหม่ามได้ 30 ปี โดยประมาณ บุตรของอิหม่ามที่สืบเชื้อสายจากตระกูลอุสมาน บุตรท่านอัฟฟานได้แก่ อาบูอุสมาน มูฮำหมัด ส่วนบุตรสาว ได้แก่ ฟาตีมะห์และไซหนับ หากแต่ขณะอาบูอุสมาน มูฮำหมัด นั้น มีตำแหน่งที่สูง เป็นถูงผู้พิพากษาของแคว้นฮาลิบ และอิหม่ามซาฟีอีได้มีลูกชายอีกคนหนึ่งกับภรรยาคนที่สอง ชื่อ ฮาซัน บุตรมูฮำหมัด บุตรอิดริส แต่ฮาซันได้เสียชีวิตขณะยังเด็กอยู่ เอกลักษณ์ประจำตัวที่เด่นชัดของอิหม่าม อิหม่ามซาฟีอีเป็นชายที่สูงใหญ่ มีมารยาทดีเลิศ และท่านเป็นคนรักเพื่อนฝูงและครอบครัว คนรอบข้าง เสื้อผ้าที่สวมใส่สะอาดหมดจด พูดจาฉะฉาน ชอบสร้างความดีต่อเพื่อนบ้าน ชอบย้อมผมสีแดง อ่านกุรอ่านเสียงไพเราะรื่นหู ทั้ง ๆ ที่อายุขณะนั้นท่านมีอายุเพียงแค่ 13 ปีเท่านั้น นักวิชาการ นักปราชญ์ บรรดาอุลามาเหล่านั้นต้องการที่จะหลั่งน้ำตาอันเนื่องมาจากการยำเกรงอัลเลาะฮ์ ก็จึงมีการรวมตัวกันแล้วเอ่ยขึ้นว่า พวกเราทุก ๆ เราไปเถิด ไปหาเด็กคนนั้นเถิด หมายถึง อิหม่ามซาฟีอี เพื่อเราจะได้รับฟังการอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่านจากเขา และจะเป็นเหตุให้พวกเราหลั่งน้ำตาเพราะเหตุการฟังการอ่านของเด็กผู้นั้น เมื่อพวกเขาเหล่านั้นได้เดินทางมาถึงที่หมายและได้สดับรับฟังการอ่านและได้ยินเสียงอันไพเราะของอิหม่าม น้ำตาของบุคคลเหล่านั้นก็ได้ไหลล้นเอ่อเต็มหน้าตักของพวกเขาเหล่านั้น อิหม่ามซาฟีอีเมื่อมองเห็นสภาพเช่นนั้นก็จึงหยุดอ่านกุรอ่านเนื่องจากมีความสงสารบุคคลเหล่านั้น ในขณะที่อิหม่ามมีอายุได้ 2 ขวบ มารดาของท่านได้พาอิหม่ามออกเดินทางสู่นครมักกะห์อิมูกัสรอมะห์ มารดาอิหม่ามได้หยุดพักอยู่ที่ และหลังจากนั้นก็มาหยุดพักที่มัสยิดฮารอมที่มีนามว่า ซะอ์มุ้ลคีฟ
             เมื่ออิหม่ามซาฟีอีมีความปราดเปรื่อง มีไหวพริบดี มารดาจึงส่งไปเรียนหัดประพันธ์ หากแต่ว่าสภาพคล่องทางการเงินไม่เพียงพอ จึงเลิก พักการเรียนในขณะหนึ่ง อันเนื่องจากมวลเหตุการบกพร่องดังกล่าวมา จึงเป็นสาเหตุให้ท่านอิหม่ามมีความมุ่งมั่นมานะพยายามศึกษาเล่าเรียนอย่างสุดความสามารถในการศึกษาเล่าเรียน และทำตัวให้ใกล้ชิดต่อคณาจารย์ให้มากที่สุด เพื่อจะได้คำสั่งสอนที่มีน้อยนักที่เด็กวัยเพียงเท่านี้จะสามารถทำได้ ในขณะที่อาจารย์ไม่อยู่ อิหม่ามก็ยังคงทบทวนบทเรียนอย่างต่อเนื่องเหมือนกับอาจารย์ปรากฏตัวอยู่ การปฏิบัติดังกล่าวนั้นจึงทำให้อิหม่ามมีความแตกฉานและด้านวิชาการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งนักเรียนที่เรียนอยู่ด้วยกันมีความรักท่านและศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่าน และเชื่อฟังคำพูดของท่าน เมื่ออิหม่ามมีอายุได้ 7 ปี หรือ 9 ปี ท่านมีความสามารถในการท่องจำกุรอ่านได้หมดทั้งเล่ม หลังจากนั้นท่านได้เข้าศึกษาที่มัสยิดอัลฮารอม ท่านก็ได้มุ่งมั่นทำการศึกษาด้านภาษา วิชาสาขาทุกแขนง จนกระทั่งมีความปราดเปรื่องด้านภาษาอาหรับ เป็นเพราะเหตุที่ได้มารวมกันหลายเผ่าพันธุ์ หลายหมู่เหล่า ที่ได้เข้ามาศึกษาที่มักกะห์ จึงทำเริ่มการศึกษาให้ท่านได้รับส่วนดีจากการสนิทสนมและรู้จักบุคคลหลายหมู่เหล่าหลายภาษาในขณะนั้น ในด้านความรู้อย่างสมบูรณ์แบบและครบวงจร อาทิ วิชาฝึกฮาดิษ ตับซีร และอุลูมอัลกุรอ่าน

อาจารย์ของท่านที่นครมาดีนะห์
              ท่านอิหม่ามซาฟีอีได้เล่าเรียนกับท่านอิหม่ามมาลิก บุตรท่านอานัส ท่านอิบรอฮีมบุตรท่านซาอัด อัสอัสซอรี ท่านอับดุลอาซีซบุตรท่านมูฮำหมัดอัลตราวัสดี อ่านอิบรอฮีมบุตรท่านอาบียะห์ยาอัลอาซาบี ท่านมูฮำหมัดบุตรท่านซาอีด บุตรชายท่านอาบีฮัดบิก ท่านอับดุลเลาะห์บุตรท่านนาเฟียอ์ อัสซออี
อาจารย์ที่ประเทศเยเมน
              ท่านอิหม่ามได้ศึกษาวิชาฝึกฮาดิษจากท่านมูตริฟ บุตรท่านมาซิน ท่านฮีซาม บุตรท่านยูซุฟ ซึ่งท่านเป็นผู้พิพากษาที่ตำบลซอนอาอ์และท่านอุมารบุตรอาบีซาลามะห์ ซึ่งเป็นสาวกของท่านอิหม่ามอาซาดี ท่านยะห์ยาบุตรท่านฮิซานเป็นเพื่อนของท่านลีซบุตรชายซาอัด อาจารย์ที่ประเทศอิรัก

      ได้ศึกษาวิชาอัลฮาดิษ ฟิก อูลูมุ้ลกุรอ่าน จากท่านวาเดียอ์ บุตรชายท่านยัดเราะห์ และท่านอามูอุซามะห์ คือ ฮัมมาด บุตรท่านอุซามะ ซึ่งเป็นเพื่อนของท่านอิสมาอีล บุตรท่านอิลยะห์ อับดุลวาฮาบ บุตรท่านอับดุลมายิด ทั้งหมดนั้นเป็นชาวมัสเราะห์

สรุป
อาจารย์ของท่านอิหม่ามรวมทั้งสิ้น 19 ท่าน
คณาจารย์จากมักกะห์อัลมูกัรรอมะห์ 5 ท่าน
คณาจารย์จากนครมาดีนะห์ 6 ท่าน
คณาจารย์จากเยเมน 4 ท่าน
คณาจารย์จากอิรัก 4 ท่าน
นักเรียนและลูกศิษย์ของท่านอิหม่ามซาฟีอีมีจำนวนมากและที่มีชื่อเสียงอยู่แนวหน้า คือ
อิหม่ามอะหมัดอิบนิฮัมบัล
ท่านฮาซันบุตรมูฮำหมัดอิสซอบบาห์
อัซซะฟารอนี
ท่านฮูเซนอัลการอบีซี
ท่านดาบูซูรเราะห์ หรือ อิบรอฮีม
ท่านอาบูอิบรอฮีม หรือ อิสมาแอล
บุตรยะห์ยาอัลมาซานี
ท่านอาบูมูฮำหมัด หรือ ท่านรอบีอะห์
บุตรสุไลมานอัลยีซี
ท่านอาบูฮัรมาละห์บุตรยะห์ยา
บุตรอับดุลเลาห์อัตตะห์ยีบี
ท่านอาบูบูซุบ หรือ ยูนุส บุตรท่านอับดุลยะอ์ลา
มูฮำหมัดบุตรอับดุลเลาะห์บุตร
อับดุลวาฮิบอัลมิซรี
และท่านสุดท้าย ท่านอับดุลเลาะห์ คือ ซุบีระฮลฮาบีดี
ในวันที่ 28 เดือนเชาวาล ปีที่ 198 ฮิจเราะห์ศักราช อิหม่ามได้ประเทศอียิปต์พร้อมกับท่านอับบาซบุตรมูซา ซึ่งเป็นผู้ปกครองประเทศอียิปต์ขณะนั้น จากการแต่งตั้งของมะมูน ท่านอับบาสมีจุดประสงค์ให้ท่านอิหม่ามพักแรมที่จวนของท่านฐานะแขกผู้มาเยือนและในฐานะนักวิชาการที่มีชื่อเสียงขณะนั้น อิหม่ามปฏิเสธที่จะพัก แต่ปรารถนาที่จะพักที่บ้านวงศ์ญาติของท่าน เพราะปฏิบัติตามการปฏิบัติของท่านนบีมูฮำหมัดซ้อลลอลเลอฮิอาลัยฮิวาลัสลำ ที่พระองค์ไม่ยอมหยุดพักบ้านใคร นอกจากบนีนัจยาดซึ่งเป็นวงศ์ญาติของท่าน อิหม่ามซาฟีอีได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เช่น อัลฮัจยะห์ อัรรีซาละห์ ยามีอัลอิสมิ อัลอุม อิมลาอัสสอฆีร อัลอามาลีอัลกุบรอ อัลบุวัยตี มัสอับของอิหม่ามยึดถือตามอัลกีตามอัสเซ็นนะห์ อัลอิจมาอ์ และอัลดียาส

การถึงแก่อสัญกรรม

            อิหม่ามซาฟีอีใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอียิปต์รวมเวลาถึง 5 ปีกับ 9 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 28 เดือนเชาวาล ปีที่ 198 ถึงปีที่ 204 เดือนรอยับ ท่านเป็นทั้งนักเขียน นักประพันธ์ นักกวี และได้สอนหนังสือนักเรียนนักศึกษา ณ ประเทศแห่งนั้นมาโดยตลอด ต่อมาท่านได้ล้มป่วยโดยมีเลือดกำเดาไหล เหตุมาจากเป็นโรคริดสีดวงทวาร จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถออกมาทำการสอนหนังสือแก่นักศึกษาและประชาชนได้ ขณะนั้นท่านมาซาห์ซึ่งเป็นคนหนึ่งในจำนวนลูกศิษย์ของท่านและเอ่ยปากถามท่านอิหม่ามว่า ท่านสบายดีหรือ ท่านอิหม่ามตอบว่า ดี แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าหากฉันสิ้นอายุไปแล้ว ดวงวิญญาณของฉันจะถูกนำไปสวรรค์อันพึงพอใจหรือไปนรกที่ต้องเสียใจ ขณะนั้นท่านก็ได้เพ่งเล็งไปดูผู้ที่อยู่รอบข้างท่านและวงศ์ญาติของท่าน และครอบครัวของท่านว่า เมื่อฉันได้จากโลกนี้ไปแล้ว พวกท่านจงไปหาผู้ปกครองเมืองและจงขอร้องเขาให้มาอาบน้ำฉัน และในท้ายของเดือนรอยับปีที่ 204 ฮิจเราะห์ของคืนวันศุกร์หลังละหมาดอีซา ต่อหน้าลูกศิษย์ของท่านจำนวนหนึ่งที่สำคัญ คือ ท่านรอเบียอ์ ยีซี ต่อการถึงแก่กรรมของท่านอีหม่ามก็ได้กระจายปกคลุมไปทั่วแคว้นแดนอียิปต์ เมื่อทุก ๆ คนได้รับทราบข่าว ต่างก็เศร้าโศกเสียใจเป็นล้นพ้น จึงได้ออกมาเพื่อแสดงความเสียใจและเพื่อที่จะหาบร่างของท่านไปอยู่ในที่ที่ดีที่สุด ต่อมาทุก ๆ คนก็ต้องผิดหวังมิอาจทำได้อันสืบเนื่องจากประชาชนที่ได้รับทราบข่าวก่อนหน้านี้ได้ออกมาเนืองแน่น
ตอนเช้าของวันศุกร์ผู้ปกครองเมืองก็ได้ออกมาเพื่ออาบน้ำให้อิหม่ามตามที่ได้รับวาซีฮัตเอาไว้ ผู้ปกครองเมืองได้ถามแก่ญาติว่า ท่านอิหม่ามมีหนี้สินบ้างหรือเปล่า ทางญาติจึงตอบว่ามี ผู้ปกครองจึงได้ทำการชดใช้หนี้สินแทนให้แด่อิหม่าม พอใช้หนี้สินเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกล่าวว่า นี่และคือความหมายที่ท่านบอกให้ฉันมาอาบน้ำให้ หลังจากละหมาดอัลฮัสริเสร็จสิ้นแล้ว ศพของท่านอิหม่ามซาฟีอีก็ได้เริ่มเคลื่อนออกจากที่พักและเมื่อได้เคลื่อนศพออกมาถึงที่ถนนที่มีนามว่า ถนนอัสซัมบิดะห์นาฟีซะห์ นางเจ้าของชื่อถนนก็ออกมาและขอให้ผู้ที่แบกหาม ในขณะที่ท่านอิหม่ามซาฟีอีได้ละหมาดอยู่ที่มัสยิดขณะนั้นท่านได้พบกับชายคนหนึ่งนั่งอยู่ระหว่างกุโบร์นบีกับมินบัร หน้าตาสดใส เสื้อผ้าขาวสะอาด ละหมาดได้ถูกต้องสวยงาม ฉันจึงถามคนที่อยู่ที่นั่นว่า คนนั้นชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ก็ได้รับคำตอบว่า อยู่ที่อิรัก อิหม่ามซาฟีอีถามว่า ที่ใดของอิรัก เขาตอบว่า เมืองกูฟะห์ อิหม่ามถามว่า ผู้ที่มีความรู้นั้นและสั่งสอนในแก่นแท้ของกุรอ่านและสุนนะของท่านร่อซุ้ลลุ้ลเลาห์สอลลัลลอรุอาลัยฮิวาลัสลัม บอกฉันว่า ท่าน ท่าน มูฮำหมัดบุตรฮาซัน ท่านอาบูยูซุมเพื่อนของอิหม่ามฮานาฟี  อิหม่ามซาฟีอีกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะกลับไปกูฟะห์เมื่อใด พวกเขาทั้งหลายกล่าวแก่ฉันว่า รุ่งสางของวันใหม่ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ไปหาท่านอิหม่ามมาเล็ก ฉันก็กล่าวแก่ท่านอิหม่ามมาลิกว่า แท้จริงฉันได้ออกจากเมืองมักกะห์เพื่อศึกษาวิชาความรู้โดยไม่ได้รับอนุมัติจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีเกียรติทั้งหลาย และฉันคงมีโอกาสกลับสู่มักกะห์เพื่อศึกษาเล่าเรียนอีกครั้งหนึ่งหากมีวาสนา อิหม่ามมาลิกกล่าวแก่ฉันว่าท่านไม่ทราบหรือว่าแท้จริงบรรดามาลาอีกะห์ได้ใช้ปีกโอบล้อมแก่ผู้ศึกษาเล่าเรียนเพราะเหตุพึงพอใจผู้ศึกษาเล่าเรียน อิหม่ามซาฟีอีกล่าวว่า ขณะที่ฉันได้ตัดสินใจจะเดินทาง อิหม่ามมาลิกก็ได้เตรียมท่านอิหม่ามให้นำศพของท่านอิหม่ามเข้าบ้าน เพื่อทำการละหมาดให้อิหม่าม หลังจากที่เธอได้ละหมาดเสร็แล้ว จึงขอให้อิหม่ามได้รับความเมตตาจากอัลเลาะฮ์และขอดุอาอ์ให้ หลังจากนั้นศพก็จึงเคลื่อนไปยังกุรอฟะห์ ซึ่งทราบขานกันดีโดยทั่วไปในขณะนั้นว่า ตุรุบะห์เอาลาดอับดุล อิกัม และ ณ ที่นี่ ที่ท่านอิหม่ามได้ถูกฝังอยู่ ณ ที่แห่งนี้ หลังจากฝังแล้ว จึงถูกชายานามใหม่ว่า ตุรบะห์อัซซาฟีอี ตาบจนถึงทุกวันนี้

สรุปชีวะประวัติทางด้านการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง
             ปรากฏว่าการออกหาวิชาของอิหม่ามเต็มไปด้วยความยากลำบาก การออกหาวิชาความรู้ขั้นแรกนั้นที่นครมดีนะห์ ได้เล่าเรียนกับอิหม่ามมาลิกและท่องจำมูวัตเตาะอ์และอิหม่ามมาลิกได้ให้เกียรติอิหม่ามซาฟีอีโดยให้อิหม่ามซาฟีอีนั่งแทนที่ของท่านและให้อิหม่ามซาฟีอีอ่านมูวัตให้ประชาชนฟังและอธิบายอย่างชัดเจน อิหม่ามซาฟีอีได้อยู่กับท่านอิหม่ามมาลิกที่มาดีนะห์ประมาณ 8 เดือนการออกเดินทางไปยังอิรัก ( แบกแดด)ตามปกติแล้วชาวอียิปต์จะมุ่งสู่นครมดีนะห์ หลังจากทำฮัจยีเสร็จสิ้นเพื่อทำการละหมาดที่มัสยิดนบีมูฮำหมัดศอลลัลลอฮอะลัยฮิวาซัลลัม เพื่อมารับฟังมูวัตเตาะห์ของอิหม่ามมาลิก อิหม่ามซาฟีอีได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้สอนมูวัตเตาะแด่เขาเหล่านั้นเพื่อท่องจำ ส่วนหนึ่งจากพวกเหล่านั้นคือ อัลดุลเลาะห์บุตรฮาคัม อัชฮับบุตรกอเซ้ม ท่านลิซบุตรซาอัด

   อิมาม อบูหะนีฟะฮ
              ในช่วงศตวรรษที่สอง และสามแห่งปีฮิจญ์เราะฮฺศักราช ได้กำเนิดสถาบันหรือสำนักศึกษาวิชาการอิสลามด้านนิติศาสตร์(มะซาฮิบ ฟิกฮียะฮฺ) อย่างมากมาย แต่ละสำนักมีวิธีการประยุกต์หรือหลักการศึกษานิติศาสตร์ที่แตกต่างกันไป ใน บรรดาสำนักศึกษานิติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางและแพร่หลาย ทั่วโลก คือ สำนักศึกษาที่ก่อตั้งโดย อิมามอบูหะนีฟะฮฺ ณ เมืองกูฟะฮฺ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของสำนัก อะฮฺลุล เราะยีหรือสำนักคิดนิยม

1. ชื่อและวงศ์ตระกูล
            ท่าน มีชื่อว่า นุอฺมาน บิน ซาบิต บิน ซูฏีย์ อัลกูฟีย์ ปู่ของท่าน ซูฏีย์ เป็นชาวกรุงคาบูลที่อพยพไปยังเมืองกูฟะฮฺ เกิดที่เมืองกูฟะฮฺในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 80 และเสียชีวิตที่เมืองบัฆดาด ในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 150 เมื่ออายุได้ 70 ปี มีอาชีพเป็นพ่อค้าไหม ท่านมีชีวิตอยู่ในรุ่นของอัตบาอุตตาบิอีน ซึ่งทันอยู่ร่วมสมัยกับบรรดาเศาะหาบะฮฺรุ่นเล็กหลายท่าน และตอนเด็กๆท่านเคยเห็น อนัส บิน มาลิก ในช่วงที่อนัสเดินทางไปยังเมืองกูฟะฮฺ

2. อาจารย์และสานุศิษย์
               ท่าน ได้รับการประสาทความรู้จากบรรดาอุละมาอฺตาบิอีนที่ทรงคุณวุฒิมากมาย อาทิเช่น หัมมาด บิน อบีสุลัยมาน สะลิมะฮฺ บิน กุหัยล์ อามิร อัชชะอฺบีย์ อิกริมะฮฺ อะฏออฺ เกาะตาดะฮฺ อัซซุฮฺรีย์ นาฟิอฺ เมาลา อิบนิอุมัร เป็นต้น ส่วนบรรดาศานุศิษย์ที่มีบทบาทในการเผยแผ่แนวคิดหรือมัซฺฮับของท่านได้แก่

             1. กอฎีย์ อบูยูสุฟ (113182 ฮ.ศ.) ซึ่งนับได้ว่าเป็นศิษย์เอกของท่านและมีบทบาทอย่างมากในการเผยแผ่แนวคิดของ ท่านโดยเฉพาะหลังจากที่ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นกอฎีย์แห่งอาณาจักอับบาสิยะฮฺ
   2. มุหัมมัด บิน หะสัน อัชชัยบานีย์ (132189 ฮ.ศ.) ซึ่งทันศึกษากับอิมามอบูหะนีฟะฮฺช่วงหนึ่ง และศึกษากับอบูยูสุฟ ท่านเป็นคนที่เริ่มแรกเขียนหนังสือนิติศาสตร์ตามแนวทางของสำนักศึกษาของอิมา มอบูหะนีฟะฮฺและเผยแผ่มัน
             3.ซุฟัร บิน อัลฮุซัยล์ (110158 ฮ.ศ.)
              4.อัลหะสัน บิน ซิยาด อัลลุลุอีย์ (133204 ฮ.ศ.)

3. ความรู้เกี่ยวกับนิติศาสตร์และคำชม
1. อิบนุมุบาร็อก กล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นใครมีความรู้เหมือนในด้านนิติศาสตร์กับอบูหะนีฟะฮฺ
2. ยะหฺยา อัลก็อฏฏอน กล่าวว่า ฉันไม่ได้โกหกต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เคยได้ยินแนวคิดของผู้ใดที่ดีกว่าอบูหะนีฟะฮฺ
3. อิมามชาฟิอีย์กล่าวว่า ผู้ใดที่ต้องการจะมีความรู้ที่แตกฉานในด้านนิติศาสตร์ เขาต้องพึ่งพา(แนวคิดของ)อบูหะนีฟะฮฺ)
4. สุฟยาน อัษเษารีย์ กล่าวว่า อบูหะนยีฟะฮฺเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องด้านนิติศาสตร์ที่สุดในสมัยท่าน

4. ความสมถะในชีวิต
            ครั้ง หนึ่งอาณาจักรราชวงค์อะมาวียะฮฺต้องการจะแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้พิพากษาหรือ กอฎีย์แห่งเมืองกูฟะฮฺแต่ท่านปฏิเสธ จนเป็นเหตุให้เจ้าเมืองกูฟะฮฺกริ้วและโบยท่านวันละ 10หวาย ติดต่อกันถึง 10 วัน และหลังจากที่เห็นถึงความแน่วแน่ของท่านเจ้าเมืองจึงปล่อยท่านไป อิบนุมุบาร็อกกล่าวว่า พวกเจ้าจำได้ไหม ผู้ชายที่มีการหยิบยื่นความสุขสบายทางโลกให้แก่เขาแต่เขากลับหนีห่างจากมันชุรัยก์ อันนะเคาะอีย์กล่าวว่า อบูหะนีฟะฮฺเป็นคนที่เงียบ ชอบครุ่นคิดอยู่เสมอ ไม่ค่อยพูดจากับคนอื่น
5. กฏเกณท์ในการวิเคราะห์หลักนิติศาสตร์
ท่าน เป็นผู้ที่ได้รับมรดกด้านแนวคิดของสำนักคิดหรือสถาบันการศึกษาอิสลามแห่ง เมืองกูฟะฮฺ ซึ่งมีการวางกฏเกณท์หรือหลักการศึกษาและวิเคราะห์หลักนิติศาสตร์อิสลาม ดังนี้ คือ
1. อาศัย อัลกุรอาน สุนนะฮฺ และทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ในการให้คำชี้ขาดด้านนิติศาสตร์เป็นหลักตามลำดับท่านกล่าวว่า ฉันจะปฏิบัติตามอัลกุรอาน ตราบใดที่ฉันพบว่ามีระบุอยู่ในนั้น หากไม่แล้วฉันก็จะปฏิบัติตามที่ระบุอยู่ในสุนนะฮฺ หากฉันไม่พบอยู่ในทั้งสอง ฉันก็จะปฏิบัติตามทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ฉันจะเลือกเอาทัศนะที่ฉันพอใจและเห็นด้วยและจะทิ้งทัศนะอื่นๆที่ตรงข้าม ฉันจะไม่มองข้ามทัศนะของพวกเขาเหล่านั้นและหันไปเอาทัศนะของคนอื่นเป็นอัน ขาด แต่เมื่อมีทัศนะด้านนิติศาสตร์ที่มาจากอิบรอฮิม อันนะเคาะอีย์ อัชชะอฺบีย์ อิบนุสีรีน อะอฺฏออฺ สะอีด บิน มุสัยยับ ฉัน(จะไม่ปฏิบัติตามพวกเขา แต่) จะพยายามวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นเสมือนกับที่พวกเขาได้กระทำไว้มีคนถามท่านว่า เมื่อคำพูดของท่านเกิดค้านกับอัลกุรอาน แล้วจะทำอย่างไรท่านตอบว่า พวกเจ้าจงละทิ้งคำพูดของฉันมีคนถามอีกว่า แล้วถ้าคำพูดของท่านค้านกับสุนนะฮฺล๋ะท่านตอบว่า พวกเจ้าจงละทิ้งคำพูดของฉันเสียมีคนถามอีกว่า แล้วถ้าคำพูดของท่านค้านกับทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺล๋ะท่านตอบว่า จงละทิ้งคำพูดของฉันเสีย

2. เคาะบัรวาหิดตามทัศนะของอบูหะนีฟะฮฺ เคาะบัรวาหิดหมายถึงหะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่ถึงระดับมุตะวาติร อิมามอบูหะนีฟะฮฺได้วางข้อแม้ต่างๆในการรับเอาเคาะบัรวาหิดเพื่อการวิ เคราะห์หุกมหรือหลักนิติศาสตร์ดังนี้คือ

               2.1 ต้องไม่ค้านกับการปฏิบัติของนักรายงาน หมายความว่า หากเนื้อหาของเคาะบัรวาหิดส่วนใดเกิดค้านกับการปฏิบัติของนักรายงานเคาะบัร ดังกล่าวก็ให้ยึดตามการ
         ปฏิบัติของนักรายงานนั้นไม่ใช่ปฏิบัติตามเคาะบัรที่ ได้รายงานไว้ เพราะหากเขาไม่รู้ถึงจุดบกพร่องของเคาะบัรที่ได้รายงานไว้ แน่นอนเขาก็ต้องปฏิบัติตามนั้น
              2.2 ต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้ เพราะความจำเป็นดังกล่าวทำให้เป็นที่รู้จักกันในหมู่ชนและมีการรายงานที่มาก มายอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อมีเคาะบัรวาหิด
         เกี่ยวกับสิ่งดังกล่าวจึงถือว่าเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้รายงานนั้นบกพร่อง
              2.3 ต้องไม่ค้านกับหลักการเปรียบเทียบ(กียาส) และนักรายงานเคาะบัรวาหิดต้องเป็นคนที่แตกฉานในด้านนิติศาสตร์ เมื่อใดที่เคาะบัรวาหิดเพียบพร้อมด้วยข้อแม้ทั้งสามดัง  กล่าว จึงจะสามารถยึดไว้เป็นหลักในการวิเคราะห์เพื่อให้คำชี้ขาดในด้านนิติศาสตร์ ได้ ถึงแม้ว่าจะมีสายงายงานที่อ่อนก็ตาม และรายงานดังกล่าวจะมีน้ำหนักมากกว่ากิยาส และนี่คือบุคลิกเฉพาะของแนวคิดหรือวิธีการวิเคราะห์ด้านนิติศาสตร์ของมัซ ฺฮับหะนะฟีย์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับหะดีษที่มีสายรายงานที่อ่อนมากกว่ากิยาส
3. การเปิดกว้างในเรื่องของกิยาส ในบรรดาหลักการวิเคราะห์นิติศาสตร์ของอิมามอบูหะนีฟะฮฺคือท่านจะยึดเอาหลัก การเปรียบเทียบหรือกิยาสมาเป็นบรรทัดฐานในการวิเคราะห์นิติศาสตร์อย่างกว้าง ขวางเว้นแต่เรื่องที่เกี่ยวกับหุดูดหรืออาญา และการชดเชยหรือกัฟฟาเราะฮฺ กล่าวกันว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะอิมามอบูหะนีฟะฮฺเป็นคนที่ศึกษาและรายงานหะดีษน้อยกว่าคนอื่นเป็นอย่าง มากถ้าจะเทียบกับบรรดาอิมามคนอื่นๆ ประจวบกับความมัธยัสและท่าทีที่แข็งกร้าวในการรับหะดีษของท่านอันสืบเนื่อง มาจากการแพร่สะพัดของการโป้ปดในเมืองอิรักตอนนั้น

4. การเปิดกว้างในเรื่องของอิสติหฺสาน อิสติหฺสาน (การพิจารณาเห็นชอบด้วยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยปัญญาเป็นบรรทัดฐาน) เป็นอีกวิธีหนึ่งในการวิเคราะห์และแสดงมติในด้านนิติศาสตร์อิสลามที่อิมามอ บูหะนีฟะฮฺใช้อย่างกว้างขวางและมากกว่าหลักการกิยาสอีก เพราะทุกครั้งที่ท่านพบว่ามีอะซารฺหรือมีรายงานจากเศาะหาบะฮฺคนใดคนหนึ่ง ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มีระบุใน             อัลกุรอานและหะดีษท่านก็จะยึดถืออะซารฺนั้นเป็น บรรทัดฐานในการตัดสินหรือคำชี้ขาดด้านบัญญัติศาสนาทันทีพร้อมกับทิ้งกิยาส

5. การใช้หลักการหลีกเลี่ยง(หิยัล) หลักการหิยัลหรือการหาช่องโหว่ของบัญญัติศาสนาเพื่อหลีกเลี่ยงจากความคับแคบ ของหุกม หรือยกเลิก หรือเปลี่ยนจากหุกมหนึ่งสู่อีกหุกมหนึ่งที่เบากว่า เป็นต้น เป็นอีกหลักการหนึ่งที่อิมามอบูหะนีฟะฮฺนำมาใช้ ซึ่งอุละมาอฺส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นด้วยและตอบโต้อย่างแข็งขัน อาทิเช่น อัลบุคอรีย์ซึ่งท่านได้ใส่เรื่อง หิยัล ในหนังสือเศาะหีหฺของท่านเพื่อโต้คนที่ใช้หลักการหิยัลนี้.

6. การแพร่สะพัดของมัซฮับอบีหะนีฟะฮฺ มัซฮับอบูหะนีฟะฮฺเป็นมัซฮับที่แพร่สะพัดไปทั่วหล้าและปัจจุบันมัซ ฮับหะนะฟีย์เป็นมัซฮับที่มีมุสลิมยึดเป็นแนวทางมากที่สุด ซึ่งจะกระจระจายตามประเทศ อิรัก ซีเรีย เลบานอน อินเดีย ปากีสถาน อัฟฆานิสถาน ตุรกี อัลบาเนีย ประเทศแถบอ่าวบัคข่าน         กูกอซฺ และแถบอัฟริกาเป็นบางส่วน

7. หนังสือนิติศาสตร์ตามมัซฮับหะนะฟีย์ หนังสือนิติศาสตร์หรือฟิกฮิที่ใช้เป็นบรรทัดฐานในการอ้างอิงของมัซ ฮับหะนะฟีย์สามารถแบ่งได้ดังนี้
    1. หนังสืออุศูลมัซฮับ มีทั้งหมดหกเล่มซึ่งล้วนเป็นข้อเขียนของท่านมุหัมมัด บิน หะสัน อัชชัยบานีย์ ทั้งสิ้น ได้แก่หนังสือ อัลมับสูฏ อัซซิยาดาต อัลญามิอุศเศาะฆีรฺ อัสสัยรุศเศาะฆีรฺ อัลญามิอุลกะบีรฺ และอัสสัยรุลกะบีรฺ ต่อมาอัลหากิมอัชชะฮีดได้รวบรวมหนังสือทั้งหกเล่มไว้ในหนังสือของท่านที่มี ชื่อว่า อัลกาฟีย์ ซึ่งกลายเป็นหนังสือที่มุอฺตะมัดหรือน่าเชื่อถือที่สุดของมัซฮับฟะนะฟีย์
               2. หนังสือที่มุอฺตะมัดหรือเป็นที่น่าเชื่อถือในการอิงมัซฮับ ที่สำคัญๆได้แก่  1. อัลมับสูฏ ของ อัลสิร็อคสีย์ ซึ่งเป็นการชัรหฺหรืออธิบายขยายความหนังสืออัลกาฟีย์ 2.  มุคตะศ็อร อัฏเฏาะหาวีย์ 3. มุคตะศ็อร อัลกิเราะคีย์
             3. หนังสือแม่บทหรือมุตูนที่มุอฺตะมัด ได้แก่ 1. วิกอยะตุรริวายะฮฺ ฟี มะสาอิลิลฮิดายะฮฺ ของ ตาญุชชะรีอะฮฺ อัลอับบาดีย์ หรือป็นที่รู้จักกันในนาม อัลวิกอยะฮฺ 2. มุคตะศ อรฺอัลกุดูรีย์ 3. กันซุดดะกออิก ของ อบุลบะเราะกาต อันนะสะฟีย์
             4. หนังสือที่ให้ความสำคัญด้านหลักฐานและทัศนะเปรียบเทียบ ได้แก่          1. บะดาอิอุศเศาะนาอิอฺ ของ อัลกาสานีย์ 2. ฟัตหุลเกาะดีร ของ อิบนุลฮัมมาม 3. อัลลุบ บาบ ฟิลญัมอิ บัยนัสสุนนะฮฺ วัลกิตาบ ของ อัลค็อซฺเราะญีย์ 4. นัศบุรรอยะฮฺ ฟีตัครีจ อะหาดีษุลฮิดายะฮฺ ของ ซัยละอีย์

8. ศัพท์เทคนิคที่ใช้ในหนังสือมัซฮับหะนะฟีย์
   - อัลอะอิมมะฮฺ อัลอัรบะอะฮฺ หมายถึง อบูหะนีฟะฮฺ มาลิก ชาฟิอีย์ อะหมัด
   - อะอิมมะตุนา อัษษะลาษะฮฺ หมายถึง อบูหะนีฟะฮฺ อบูยูซุฟ และมุหัมมัด
   - อัชชัยคอน หมายถึง อบูหะนีฟะฮฺ และอบูยูสุฟ
   - อัฏเฏาะเราะฟัยนฺ หมายถึง อบูหะนีฟะฮฺ และมุหัมมัด
   - อัศศอหิบาน หมายถึง อบูยูสุฟ และมุหัมมัด
   - อัศศ็อดรุลเอาวัล หมายถึง เศาะหาบะฮฺ ตาบิอีน และอัตบาอุตตาบิอีน
   - อัสสะลัฟ หมายถึง บรรดาฟุเกาะฮาอฺมัซฮับหะนะฟีย์รุ่นแรกจนถึงมุหัมมัด บิน หะสัน
   - อัลเคาะลัฟ หมายถึง บรรดาฟุเกาะฮาอฺมัซฮับหะนะฟีย์หลังจากมุหัมมัดจนถึง ชัมชุลอะอิมมะฮฺอัลหํลวานีย์
   - อัลมุตะอัคคิรุน หมายถึง บรรดาฟุเกาะฮาอฺมัซฮับหะนะฟีย์หลังจากชัมชุลอะอิมมะฮฺอัลหํลวานีย์ จนถึง หะฟิซุดดีน อัลบุคอรีย์
   - อัลอุสต๊าส หมายถึง อับดุลลอฮฺ บิน มุหัมมัด อัสสุบุซฺมูนีย์
   - บุรฮานุลอิสลาม หมายถึง เราะฎียุดดีน อัสสิร็อคสีย์
   - บุรฮานุลอะอิมมะฮฺ หมายถึง อับดุลอะซีซ บิน มาซัฮฺ ศึ่งบางครั้งจะเรียกว่า อัศศ้อดรุลกะบีร
   - ตาญุชชะรีอะฮฺ หมายถึง มะหมูด บิน มุหัมมัด
   - ชัมชุลชะรีอะฮฺ หมายถึง อัสสิร็อคสีย์
   - ฟัครุลอิสลาม หมายถึง อะลี บิน มุหัมมัด อัลบัซดะวีย์

คัดลอกจาก http://forums.muslimphuket.com/islamic-article/history-of-imam-abuhanifah/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น