บทความที่ได้รับความนิยม

วันอังคารที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

วันสำคัญของชาวมุสลิม (วันอีด)

วันสำคัญของชาวมุสลิม (วันอีด)

1. ความหมายด้านภาษา
อีด เป็นภาษาอาหรับที่ผันมาจากกริยาของ عَادَ – يَعُوْدُ – عَوْدٌ แปลว่า เวียนมา วกกลับ หวนมาบรรจบ ครบรอบ
      อัล-อัซฮะรีย์ กล่าวว่า “อีดในทัศนะของคนอาหรับจะหมายถึง เทศกาลความรื่นเริงหรือความโศกเศร้าที่หวนกลับมาบรรจบหรือครบรอบอีกครั้งหนึ่ง”
      อิบนุล-อะเราะบีย์ กล่าวว่า “เหตุที่ถูกเรียกว่า “อีด” เพราะมันจะเวียนกลับมาพร้อมกับนำความรื่นเริงครั้งใหม่(มาสู่ชุมชน)” [1]
      วันอีด จะถูกเรียกเนื่องในเทศกาลหรือโอกาสใดโอกาสหนึ่งที่หวนมาบรรจบเป็นประจำในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ และในวันเดือนปีที่ชัดเจนจนเป็นธรรมเนียมที่รู้กัน ซึ่งอาจจะเป็นเทศกาลรายปีรายเดือน หรือรายสัปดาห์ โดยที่เทศกาลดังกล่าวจะหวนกลับมาพร้อมกับการต้อนรับของชุมชนด้วยกิจกรรมต่างๆ ทั้งที่เป็นกิจกรรมด้านพิธีกรรมศาสนา กิจกรรมสันทนาการ กิจกรรมประเพณีกิจกรรมการชุมนุมสังสรรค์ และกิจกรรมการละเล่นหรือความรื่นเริงต่างๆ

2. ความหมายด้านนิติศาสตร์อิสลาม
      วันอีดในด้านนิติศาสตร์จะหมายถึงวันแห่งเทศกาลหรือโอกาสใดโอกาสหนึ่งที่หวนกลับมาบรรจบหรือครบรอบอีกครั้งอย่างเป็นเนืองนิตย์และเป็นปกติวิสัย ไม่ว่าจะเป็นการหวนกลับมาในรอบปี รอบสัปดาห์ หรือรอบเดือนก็ตาม[2] อาทิเช่น อีดิลฟิฏริ อีดิลอัฎฮา อีดุลมีลาด (วันเกิด) อีดเราะสุสสะนะฮฺ (วันขึ้นปีใหม่) และอีดเมาลิด เป็นต้น
      ของขวัญวันอีด จะถูกเรียกว่า “อีดิยฺยะฮฺ” อิบนุ อาบิดีน กล่าวว่า "สาเหตุที่ถูกเรียกวันนี้ว่าวันอีด เพราะอัลลอฮฺทรงนำความเมตตาและความดีต่างๆ ของพระองค์กลับคืนสู่บ่าวของพระองค์อีกครั้ง อาทิเช่นอนุญาตให้ละจากการถือศีลอดหลังจากที่พระองค์ทรงห้าม(เป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม) การแจกจ่ายซะกาตแก่คนจน การแจกจ่ายเนื้อสัตว์อุฎฺหิยะฮฺ(สัตว์กุรบาน) และอื่นๆ และเนื่องจากว่าโดยปกติแล้วในวันนี้จะมีแต่ความสุข สนุกสนาน รื่นเริง กระฉับกระเฉงและมีสีสันสวยงาม"

ประวัติวันอีดในอิสลาม
      ตามธรรมเนียมของแต่ละประชาชาติมักจะยึดเอาวันต่างๆที่มีความสำคัญด้านประวัติศาสตร์ หรือมีเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นในวันนั้นมาตั้งเป็นวันอีด แต่วันอีดในอิสลามจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับวันอีดเหล่านั้น เพราะบัญญัติวันอีดในอิสลามจะมีความสัมพันธ์อย่างแนบแน่นกับกิจกรรมศาสนา
ดังนั้นเราจึงพบว่าวันอีดิลฟิฏรฺจะมีความเกี่ยวพันกับการสิ้นสุดของการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ส่วนอีดิลอัฎฮาจะมีความเกี่ยวพันกับเทศกาลหัจญ์และวันอะเราะฟะฮฺ

วันอีด (วันรายอ) มัสยิดกลางปัตตานี

      เมื่อครั้งที่ท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัมอพยพไปยังมหานครมะดีนะฮฺ ท่านพบว่ามีอยู่สองวันที่ชาวอันศอรฺจะจัดงานเฉลิมฉลองในวันนั้นมาตั้งแต่สมัยก่อนอิสลาม ดังนั้นท่านจึงกล่าว(แก่ชาวมุสลิม)ว่า “แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงเปลี่ยนและทดแทนให้กับพวกเจ้าด้วยวันที่ประเสริฐกว่าวันทั้งสอง นั่นคือวันอีดิลฟิฏรฺและอีดิลอัฎฮา”[3]

      อะหฺมัด อับดุรเราะหฺมาน อัลบันนา กล่าวถึงเหตุผลของบัญยัติวันอีดทั้งสองว่า "เพราะวันอีดิลฟิฏรฺและอีดิลอัฎฮา เป็นวันที่อีดที่อัลลอฮฺทรงบัญญัติและเลือกไว้สำหรับบ่าวของพระองค์ และเพราะวันอีดทั้งสองมีขั้นหลังจากการปฏิบัติหลักการอิสลามที่ยิ่งใหญ่ นั่นคือ การทำหัจญ์และการถือศีลอด ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่อัลลอฮฺทรงสัญญาว่าจะอภัยโทษแก่บรรดาผู้ทำหัจญ์และผู้ถือศีลอด และจะทรงโปรยความเมตตาของพระองค์สู่บ่าวของพระองค์ทุกๆคนที่มีความจงรักภักดีต่อพระองค์"[4]
      โดยวันอีดทั้งสองจะเริ่มด้วยพิธีกรรมการละหมาดสองร็อกอัตที่แตกต่างจากวิธีการละหมาดทั่วไปเล็กน้อย นั่นคือ
1. จัดให้มีการละหมาดอย่างพร้อมเพรียงกันที่ลานกว้างหรือสนาม(ไม่ใช่มัสญิด ยกเว้นในกรณีที่จำเป็น)
2. มีรูปแบบเพิ่มเติมเล็กน้อย นั่นคือ การกล่าวตักบีรฺก่อนอ่านอัล-ฟาติฮะฮฺ ซึ่งเป็นที่รู้จักในนามของตักบีรฺ ซะวาอิด
3. มีการอ่านคุฏบะฮฺหลังละหมาด

การปฏิบัติในวันอีด
1. ห้ามถือศีลอดในวันอีด
อบู สะอี๊ด อัล-คุดรีย์ กล่าวว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ห้ามไม่ให้ถือศีลอดในวันอีดิลฟิฏรฺและวันนะหัรฺ(วันอีดิล-อัฎฮา)”[5]
2. กล่าวตักบีรฺ
ตักบีรฺเป็นคำกล่าวหลักของวันอีดทั้งสอง ดังนั้นจึงต้องกล่าวตักบีรฺให้มากๆ ในคืนวันอีดทั้งสอง ทั้งที่บ้าน ในมัสญิด และตามถนนหนทาง เพื่อเป็นการป่าวประกาศไปทั่วทุกซอกซอย ถึงชัยชนะและความต้อนรับการมาเยือนของวันอีด โดยเฉพาะในวันอีดิลฟิฏรฺ[6]

الله أكبر، الله أكبر، [ الله أكبر] ، لا إله إلا الله والله أكبر، الله أكبر ولله الحمد

ความว่า “อัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ (อัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่(48)) ไม่มีพระเจ้าที่แท้จริงนอกจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ และมวลการสรรเสริญทั้งหลายเป็นเอกสิทธิของอัลลอฮ"


اللهُ أكْبَرُ كبِيْرًا، وَاْلحَمْدُ لِّلهِ كثِيْرًا، وَسُبْحَا ن اللهِ بُكْرَةً وَأصِيْلا، لا إِلهَ إِلاَّ اللهُ وَ لا نَعْبُدُ إِلاَّ إِيَّاهُ مُخْلِصِينَ لهُ الدِّيْنَ وَلوْ كرِهَ الْكافِرُون، لا إِلهَ إِلاَّ اللهُ وَحْدَهُ، صَدَقَ وَعْدَهُ، وَنَصَرَ عَبْدَهُ، وَهَزَمَ الأَحْزَابُ وَحْدَهُ، لاإِلهَ إِلاَّ الله، وَاللهُ أكْبَرُ

ความว่า “อัลลอฮฺคือผู้เป็นที่สุดแห่งความยิ่งใหญ่ และการสรรเสริญอย่างมากมายเป็นเอกสิทธิของอัลลอฮฺ มหาบริสุทธิ์แด่อัลลอฮฺทั้งเช้าและเย็น ไม่มีองค์อภิบาลใดๆ ที่ควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺ และเราจะไม่เคารพภักดีนอกจากพระองค์แต่เพียงผู้เดียว ด้วยความบริสุทธิ์ใจต่อพระองค์ถึงแม้ว่าบรรดาผู้ปฏิเสธจะชิงชัง ไม่มีองค์อภิบาลใดๆ ที่ควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺแต่เพียงพระองค์เดียว พระองค์ทรงเป็นผู้ที่สัจในสัญญา และทรงช่วยเหลือบ่าวของพระองค์และทรงทำให้กลุ่มศัตรูพ่ายแพ้ด้วยพระองค์เพียงผู้เดียว ไม่มีองค์อภิบาลใดๆที่ควรแก่การเคารพภักดีนอกจากอัลลอฮฺและอัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่”

3. จ่ายซะกาตฟิฏเราะฮฺและเชือดสัตว์กุรบาน
4. อาบน้ำชำระร่างกาย
5. พรมน้ำหอม
6. แต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สวยงามและดูดีที่สุด
7. รับประทานอินทผลัมก่อนไปละหมาด (สำหรับอีดิลฟิตรี) เเต่อีดิลอัฎฮามื้อแรกให้ทานเนื้อกุรบาน
8. เดินทางสู่สนามละหมาด ส่งเสริมให้เดินทางสู่สนามละหมาดด้วยการเดินเท้า สำหรับผู้ที่มีบ้านอยู่ใกล้กับสนามละหมาดและสามารถเดินทางไปได้ แต่หากว่าบ้านอยู่ไกลหรือไม่สะดวกที่จะเดินเท้าก็ให้ขึ้นรถแทนซึ่งในขณะเดินทางส่งเสริมให้กล่าวตักบีรฺตลอดทางสู่สนามละหมาด
9. ละหมาดอีด
10. กล่าวอวยพรให้แก่กัน
ญุบัยรฺ อิบนุ นุฟัยรฺ กล่าวว่า “ทุกครั้งที่บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านรอซูล ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม มาเจอกันในวันอีด พวกเขาจะกล่าวให้แก่กันว่า

تَقبَّلَ اللهُ مِنَّا وَمِنْكَ
“ตะก็อบบะลัลลอฮุ มินนา วะมินกะ” 
(ขออัลลอฮฺทรงรับทั้งจากเราและจากท่าน)[7]
11. บริจาคทาน
12. จัดงานฉลองและการละเล่นวันอีด


[1] ลิซานุล อะร็อบ 9/491, ตาญุล อะรูส 8/438
[2] อิกติฎออฺ อัศ-ศิรอฏ อัล-มุสตะกีม 1/241, วารสารอัล-มะนารฺ (7/97) 19/12/1316 ฮ.ศ.
[3] อะหฺมัด 3/103, อบู ดาวูด (1124), อัน-นะสาอีย์ 3/277, อัล-หากิม 1/294, อัล-บะเฆาะวีย์
4/292
[4] อัล-ฟัตหุ อัรฺ-ร็อบบานีย์ 6/119
[5] อัล-บุคอรีย์ (1991), มุสลิม (827)
[6] อัล-มุฆนีย์ 3/278, อิรวาอุลเฆาะลีลฺ 3/122
[7] ฟัตหุลบารีย์ 2/517 อิบนุ หะญัรฺกล่าวว่า “เราได้รายงานในอัล-มุหามิลิยฺยาต ด้วยสายรายงานที่หะสัน” http://psuarab.blogspot.com/2012/08/blog-post.html

ตะรอวีห์กับกิยามุลลัยล์แตกต่างกันหรือไม่?

ตะรอวีห์กับกิยามุลลัยล์แตกต่างกันหรือไม่?
มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ พรอันประเสริฐและความศานติจงมีแด่ท่านศาสนทูตของอัลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาเครือญาติตลอดจนบรรดาเศาะหาบะฮฺของท่าน และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺเพียงพระองค์เดียว โดยไม่มีการตั้งภาคีใดๆ ต่อพระองค์ และข้าพเจ้าขอปฏิญาณว่ามุหัมมัดคือบ่าวและศาสนทูตของพระองค์
ถาม ฉันอยากทราบถึงความแตกต่างระหว่างการละหมาดกิยามุลลัยลฺกับการละหมาดตะรอวีหฺว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ?

ตอบ -อัลหัมดุลิลลาฮฺ- มวลการสรรเสริญเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ
การละหมาดตะรอวีหฺ คือส่วนหนึ่งของการละหมาดกิยามุลลัยลฺ และการละหมาดทั้งสองนั้นไม่มีความแตกต่างดังที่ผู้คนส่วนมากเข้าใจกัน ซึ่งการเรียกขานการละหมาดกิยามุลลัยลฺในเดือนเราะมะฎอนว่า “การละหมาดตะรอวีหฺ” นั้น ก็เพราะบรรดาบรรพชนชาวสะลัฟ เราะหิมะฮุมุลลอฮฺ เมื่อพวกท่านละหมาด(กิยามุลลัยลฺ)ก็จะมีการพักผ่อนหลังจากทุกๆ 2 หรือ 4 ร็อกอัต เนื่องด้วยความขะมักเขม้นของพวกท่านในการละหมาดกิยามุลลัยลฺอย่างยาวนานเพื่อแสวงหาความดีงามในฤดูที่เต็มไปด้วยผลบุญอันมหาศาล และเพื่อรักษาผลบุญที่ถูกระบุในคำกล่าวของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ว่า   
«مَنْ قَامَ رَمَضَانَ إيمَاناً وَاحْتِسَاباً غُفِرَ لَـهُ مَا تَقَدَّمَ مِنْ ذَنْبِـهِ»
ความว่า “ผู้ใดตื่นละหมาดในค่ำคืนของเดือนเราะมะฎอน ด้วยใจที่ศรัทธาและหวังในความโปรดปรานของอัลลอฮฺ เขาจะได้รับการอภัยโทษจากความผิดของเขาที่ผ่านมา” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลข 36)

Ref: http://www.islamqa.com/ar คำถามหมายเลข 2730
http://www.islamhouse.com/434240/th/th/fatwa

อิอฺติกาฟ ความลับแห่งวิถีชีวิตมุอ์มิน

อิอฺติกาฟ ความลับแห่งวิถีชีวิตของมุอ์มิน

บทความเชิญชวนสู่การอิอฺติกาฟ หนึ่งในซุนนะฮฺของท่านนบี มุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ที่ได้ทิ้งไว้เป็นแบบอย่างแก่ประชาชาติมุสลิม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการประกอบอิบาดะฮฺและขวนขวายลัยละตุลก็อดรฺในช่วงสิบวันสุดท้ายของเดือนเราะมะฎอน

โดยนิยามแล้ว อิอฺติกาฟ หมายถึง การที่บุคคลพยายามเก็บตัวอยู่ในมัสยิดอย่างสงบตามวิธีการที่ได้กำหนดไว้ เป้าหมายสำคัญก็คือ
 - เพื่อปลีกตัวออกจากภารกิจทางโลก และครอบครัวอันมากมาย สู่การแสวงความผ่องแผ้วแห่งจิตวิญญาณเสริมสร้างพลังและศักยภาพเพื่อเป็นกลไก ที่จะเอื้ออำนวยให้กิจกรรมต่างๆ ในการดำเนินชีวิตเป็นไปอย่างราบรื่นและดียิ่งขึ้น
- หากว่าเราะมะฎอนเป็นหนึ่งเดือนแห่งการทดสอบประจำปีที่เปี่ยมล้นด้วยเราะหฺมัรจากอัลลอฮฺ ดังนั้นการอิอฺตีก้าฟในสิบวันสุดท้ายของเราะมะฎอนจึงเป็นช่วงเวลาแห่งการทดสอบเฉพาะที่ทวีขึ้นไปอีกสำหรับผู้ที่บรรลุความสำเร็จจากการทดสอบแห่งเดือนเราะมะฎอนโดยภาพรวม เพื่อความสำเร็จที่รุ่งโรจน์ยิ่งขึ้น
- เพื่อพยายามแสวงหาลัยละตุล-ก็อดร์ เช่นที่มีปรากฏอยู่ในซุนนะฮฺ (แบบอย่าง) ของรอซูลุลลอฮ ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม  
ความจริงแล้ว การอิอฺติกาฟ เป็นซุนนะฮ และวิถีชีวิตที่ท่าน รอซูล ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม ไม่เคยละทิ้งนับตั้งแต่ท่านเริ่มเข้ามายังนครมาดีนะห์จวบจนกระทั่งท่านเสียชีวิต ในขณะที่เราพบว่า ประชาคมมุสลิมในปัจจุบันจำนวนน้อยมากที่ให้ความสำคัญและให้การตอบรับวิถีแห่งการบ่มเพาะจิตใจตามแบบอย่างนี้
เราเชื่อว่า หลายคนที่ไม่ให้ความสำคัญกับซุนนะฮฺนี้ เป็นเพราะยังไม่เคยสัมผัสบรรยากาศของการอิอฺติกาฟ ช่วงเวลาเก้าหรือสิบวันที่บ่าวใช้เวลากับตัวเองเพื่อทบทวนวิถีทางและหาความลับแห่งชีวิตของการเป็นมุอ์มินผู้ศรัทธาต่อองค์อภิบาลสากลจักรวาล
ในหนึ่งปี เราะมะฎอนมิได้เป็นเพียงแค่เดือนที่สอนให้มุสลิมทุกคนรู้จักอดทนกับการละทิ้งการบริโภคและเสพสมเท่านั้น ทว่าเดือนแห่งความประเสริฐนี้ องค์อัลลอฮทรงกำหนดขึ้นเพื่อมุ่งจะเปิดโอกาสให้ปวงบ่าวของพระองค์ได้เข้าใกล้ชิดและแสดงความภักดีต่อพระองค์
ประตูสวรรค์ที่เปิดอ้า นรกที่ถูกปิดตรึง และเหล่ามารชัยตอนที่ถูกล่าม คือช่วงเวลาที่องค์ผู้สร้างเชื้อเชิญมวลมนุษย์ทั้งหลายให้เข้าเฝ้าร้องขอและรับความเมตตาจากพระองค์โดยไม่มีขีดจำกัด
เราะมะฎอนทั้งเดือนเต็มไปด้วยความบาเราะกัตและความอิ่มเอมของการใช้ชีวิตเยี่ยงบ่าวผู้ภักดี โดยที่ยากจะหาคำอธิบายมาพรรณนาได้
ถ้าการอดในช่วงกลางวันสอนให้เรารู้จักความอิคลาศ การลุกขึ้นยืนนมาซในยามกลางคืนสอนให้เราเข้มแข็งและอดทน การอิอฺติก้าฟในช่วงสิบวันสุดท้ายของเดือนเราะมะฎอนก็คือวงจรของการน้อมนอบสมบูรณ์แบบ ที่เราสามารถทั้งเข้าใกล้อัลลอฮฺ รำลึกถึงความยิ่งใหญ่ของพระองค์ สำนึกในคุณอันใหญ่หลวง ขออภัยโทษจากมวลบาป ทำให้แผ่นลิ้นชุ่มด้วยการซิกรและอ่านอัลกุรอาน ดำรัสแห่งผู้เป็นเจ้า นึกถึงชีวิตหลังความตาย จุดหมายที่อาจจะเป็นสวรรค์หรือนรก เรื่องที่บ่าวทั้งหมดควรคิดถึงเพราะเราทุกคนต้องเจอมัน และเป็นเรื่องที่เราหลงลืมมากที่สุด อันเนื่องด้วยการหมกมุ่นอยู่กับโลกของวัตถุและไม่พยายามปลีกตัวให้ห่างจากสิ่งล่อลวง
ผู้ศรัทธาทุกคนเชื่อและยอมรับอย่างมาดมั่นว่า อาคิเราะฮฺ คือสถานที่สุดท้ายทีมนุษย์ต้องกลับไปหา และเป็นสถานที่ที่จะคงถาวรตลอดไป และยังไม่มีใครปฏิเสธว่า เส้นทางแห่งอาคิเราะฮฺนั้น ต้องปูด้วยอิบาดะฮฺและการงานที่ดี จึงจะพบกับจุดหมายที่เป็นสวนสวรรค์อันเปี่ยมสุข
ไม่มีผู้ใดอีกแล้วในโลกนี้ ที่เข้าใจถึงข้อเท็จจริงของอาคิเราะฮฺ ความสุขในสวรรค์ และการทรมานในไฟนรก มากไปกว่าผู้เป็นศาสนทูตแห่งอิสลาม ท่านนบี มุฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮฺ อะลัยฮิ วะสัลลัม
ชั่วชีวิตของท่าน สิ่งที่ท่านนำสอนและเสียสละลมหายใจทั้งหมด ก็เพื่อชี้ทางให้ประชาชาติของท่านรู้จักผู้เป็นเจ้า รู้จักเส้นทางสวรรค์ เตือนให้พวกเรารู้ถึงการล่อลวงของชัยฏอนอันจะนำไปสู่นรก รวมทั้งเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุด ในการประพฤติตนเป็นบ่าวผู้นอบน้อม และขวนขวายเพื่อให้ได้มาซึ่งความโปรดปรานขององค์อภิบาล
สิ่งที่เราทุกคนควรฉุกคิดก็คือ ศาสนทูตผู้นี้ไม่เคยละทิ้งการอิอฺติกาฟในชีวิตของท่านหลังการอพยพสู่นครมะดีนะฮฺ แม้ว่าจะมีภารกิจที่ต้องรับผิดชอบมากมาย นัยเพื่อจะบอกและกำชับให้เราท่านรู้ว่า สิบวันสุดท้ายของเราะมะฎอน คือความลับ คือประตูสำคัญที่เปิดรอให้บ่าวทุกคนเข้ารับสิทธิการปลดปล่อยจากโซ่ตรวนของไฟนรก และจองที่พำนักในสวรรค์อันนิรันดร์กาล
เราให้เหตุผลไม่ได้ว่า เหตุใดที่อัลลอฮฺทรงยกเกียรติของเดือนเราะมะฎอนให้สูงเช่นนี้ เหตุใดที่พระองค์ทรงกำหนดให้เริ่มมีการประทานดำรัสอัลกุรอานในเดือนนี้ และเหตุใดที่ทรงให้มี ลัยละตุล-ก็อดรฺ ในเดือนนี้ เพราะทั้งหมดนั้นล้วนเป็นเอกสิทธิที่พระองค์ทรงประสงค์เพียงผู้เดียว
แต่สิ่งที่เราควรรู้ก็คือ องค์อัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและความปรานี เป็นผู้มอบที่ไม่เคยหวังการตอบแทน เป็นผู้ห่วงแหนบ่าวของพระองค์ เป็นผู้ที่รักและชื่นชม เมื่อเห็นบ่าววิงวอนขอจากพระองค์ด้วยท่าทีที่นอบน้อมและยำเกรง
ถ้าในหนึ่งปี เราไม่เคยแสดงบทบาทการเป็นบ่าวที่ภักดีและยำเกรง ทำไมเพียงแค่สิบวัน เราจึงเกียจคร้านที่จะทำตัวดีๆ สักครั้ง
ถ้าเพียงแค่การอิอฺติกาฟยังไม่สามารถที่รับประกันว่าเราเป็นชาวสวรรค์แล้วก็ตาม อย่างน้อยๆ ช่วงเวลาไม่กี่วันนี้ก็อาจจะเป็นจุดผกผันที่เปลี่ยนวิถีชีวิตการเป็นบ่าวของเราให้ดีขึ้น หลังจากที่เราออกพ้นจากเดือนเราะมะฎอนไปแล้ว และต้องกลับไปพบกับความวุ่นวายในโลกที่เต็มไปด้วยมะอฺศิยัต
เพราะเราเชื่อว่า อิอฺติกาฟ การทบทวนตน และการอบรมบ่มจิตใจภายใต้หลังคามัสยิดอันเป็นบ้านของอัลลอฮ คงสามารถจะบีบคั้นน้ำตาให้รินออกมาชำระล้างความโสมมในหัวใจและสร้างพลังแห่งอีมานขึ้นใหม่ได้
เช่นนี้ อิอฺติกาฟ จึงควรจะเป็นความลับแห่งวิถีของมุอ์มิน ผู้หวังจะเป็นบ่าวที่เพียบพร้อมด้วยความแข็งแกร่งของจิตใจ
ขอเชิญชวนให้ทุกคนได้ลองสัมผัสกับความลับนี้.
http://www.islamhouse.com/54489/th/th/articles

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ประวัตของท่านอีหม่ามนาวาวียฺ 2

ผู้ดำเนินตามมัซฮับตามเจตนารมณ์
            แม้ว่าอิหม่ามอัน นะวาวียฺ จะสังกัดอยู่กับฟิกฮฺ มัซฮับชาฟิอียฺ  แต่ท่านไม่ใช่มุตะอัศศิบ(ผู้คลั่งไคล้มัซฮับ) ดังนั้น จึงพบในงานเขียนของท่าน ไม่ได้ตามทรรศนะของมัซฮับชาฟิอียฺเสมอไป ดังที่จะพบได้ใหนังสืออัล มัจญมุอฺ และคำอธิบายเศาะฮีฮฺ มุสลิมของท่าน
         ท่านอิบนุ อัล อัตตาร ศิษย์คนหนึ่งของอิหม่ามอัน นะวาวียฺ ได้กล่าวว่า ท่านเป็นผู้รักษาและท่องจำ(ทรรศนะทางฟิกฮฺของ)มัซฮับชาฟิอียฺ ทั้งในหลักหลักการ หลักพื้นฐาน และประเด็นรองๆลงมา แต่ท่านยังเป็นผู้มีความรู้ในทรรศนะของเหล่าเศาะฮาบะฮฺและตาบีอีน ท่านมีความรู้ ในสิ่งที่อุละมาอ์เห็นพ้องต้องกันและที่พวกเขาเห็นแตกต่างกัน ด้วยเหตุผลนี้ทั้งหมด ท่านคือผู้ดำเนินตามวิถีทางของอุละมาอ์ยุคแรกของอิสลาม
          ในฟิกฮฺ มัซฮับ ชาฟิอียฺนั้น มีอุละมาอ์ที่โด่งดังในมัซฮับนี้สองท่านที่ถูกเรียกว่า อัช ชัยคอนหรือเชคทั้งสอง คืออิหม่ามอัน นะวาวียฺ และอิหม่ามรอฟิอียฺ ทั้งสองท่านมีการให้ทรรศนะบางอย่างที่แตกต่างกัน ผู้เล่าเรียนทางมัซฮับชาฟิอียฺบางท่านชอบอิหม่ามรอฟิอียฺมากกว่าเพราะว่าใกล้เคียงกับวิธีคิดทางฟิกฮฺของมัซฮับชาฟิอียฺมากกว่า แต่ก็มีจำนวนมากที่ชอบทรรศนะของอิหม่ามอัน นะวาวียฺ มากกว่า อันเนื่องจาก ท่านมีความรู้ที่ลึกซึ้งในวิชาฮะดีษมากกว่า
ผู้สร้างสรรค์งานวิชาการ
            อิหม่ามอัน นะวาวียฺ ได้ผลิตงานเขียนออกมาอย่างมากมาย หนึ่งในชุดตำราที่ได้รับความชื่อถือตลอดมาก็คือ คำอธิบาย เศาะฮีฮฺ มุสลิม  ซึ่งถือว่าเป็นคำอธิบายเศาะฮีฮฺมุสลิมอันดับหนึ่ง คู่กับคำอธิบายเศาะฮีฮฺ บุคอรียฺ ของอิหม่ามอิบนุ ฮะญัร อัล อัสกอลานียฺ(ชื่อฟัตหุล บารียฺ)ท่านได้แต่งหนังสือชุดยิ่งใหญ่นี้ในช่วงท้ายๆของชีวิต ใช้เวลาเพียงแค่2 ปี ท่านยังได้อธิบายเศาะฮีฮฺ บุคอรียอีกด้วย แต่ไมเสร็จ ท่านก็เสียชีวิตเสียก่อน

           งานเขียนที่ได้รับความนิยมชิ้นต่อมาของท่านคือ ริยาฎุศ ศอลีฮีน”(อุทยานของคนดี) เป็นการนำอัลกุรอานและฮะดีษมาจัดหมวดหมู่ เป็นบทๆในเรื่องเกี่ยวกับความดีงามต่างๆ หนังสือชุดนี้ถูกนำไปอธิบายต่อโดยอุละมาอ์รุ่นหลัง ที่น่าสนใจคือคำอธิบายของเชค มุฮัมมัด ศอลิหฺ อัล อุษัยมีน
            สำหรับหนังสือฟิกฮฺที่ชื่อ อัล มัจญมูอฺของท่าน ได้รับความเชื่อถืออย่างสูง แม้จะเรียบเรียงไม่เสร็จสิ้นก็ตาม หนังสือชุดนี้ถูกถือว่าเป็นหนังสือสารานุกรมทางฟิกฮฺคู่กับหนังสืออัล มุฆนียฺของอิบนุ กุดามะฮฺจากมัซฮับฮัมบะลียฺ ซึ่งหนังสือทั้งสองชุดนี้ไม่ได้จำกัดตัวเองอยู่กับมัซฮับของผู้แต่ง แต่เป้าหมายก็คือการนำเสนอสิ่งที่สอดคล้องกับอัลกุรอานและอัซซุนนะฮฺ  ส่วนที่แพร่หลายมากที่สุดคือ การนำฮะดีษที่ครอบคลุมคำสอนอิสลามทั้งหมดมาลำดับไว้ เรียกว่า สี่สิบ ฮะดีษหรือรู้จักกันในชื่อสี่สิบฮะดีษ นะวาวียฺ
ผู้กล้าเผชิญหน้ากับผู้ปกครองที่อธรรม
                อิหม่านอัน นะวาวียฺ มิได้มีความจริงจังในแง่วิชาการเท่านั้น เมื่อเผชิญกับความอธรรมบนหน้าแผ่นดิน ท่านไม่ยอมเงียบ แต่ได้ยืนขึ้นเพื่อ หลักการอิสลาม แม้กระทั่งการตักเตือนผู้ปกครองทั้งหลาย วิธีหนึ่งที่ท่านนิยมทำก็คือการส่งจดหมายไปตักเตือนผู้ปกครองเหล่านั้น บางครั้งท่าน ได้ร่างจดหมายถึงผู้ปกครอง โดยเซ็นร่วมกับอุละมาอ์ท่านอื่นๆจากสำนักฟิกฮฺต่างๆ ท่านได้คัดค้านความอยุติธรรมของผู้ปกครองหลายๆครั้ง ครั้งหนึ่ง ซุลฏอน(สุลต่าน)ในเมืองที่ท่านอาศัยอยู่ต้องการให้อุละมาอ์ทุกคน ออกฟัตวาเก็บทรัพย์สินกับประชาชนเพื่อต่อสู้กับมองโกล แต่ท่านเป็นอุละมาอ์คนเดียวที่ยังไม่ยอมออกฟัตวาให้ สุลต่านจึงให้นำตัวอิหม่ามอัน นะวาวียฺ มาถามถึงเหตุผล ท่านตอบว่าฉันรู้ว่า ท่านเคยเป็นทาสของอมีร บันดุการ์ และท่านไม่เคยมีทรัพย์ใดๆมาก่อนเลย แต่แล้วอัลลอฮฺได้ให้ความโปรดปรานกับท่าน และท่านได้กลายเป็นผู้ปกครอง ฉันได้ยินมาว่า ท่านมีทาสชายถึงหนึ่งพันคน และแต่ละคนมีสายรัดด้วยทอง และท่านยังมีทาสหญิงอีกสองพันคน แต่ละคนมีเครื่องประดับที่เป็นทอง หากท่านได้จ่ายมันทั้งหมดและได้ปล่อยทาสชายของท่านด้วยสายรัดผ้าแทน สายรัดทอง และท่านได้ปล่อยทาสหญิงพร้อมเครื่องนุ่งห่มโดยไม่มีเครื่องประดับเพชรนิลจิลดา แล้วฉันจะฟัตวาให้ท่านสามารถเก็บทรัพย์สินจากประชาชนได้
         กรณีนี้ แม้ว่าอิหม่ามอัน นะวะวียฺ จะเห็นด้วยกับการรวบรวมทรัพย์ในการต่อสู้ แต่ท่านเห็นว่าต้องเก็บตามวิธีการที่ถูกต้องเท่านั้น
           สุลต่านโกรธแค้นมากและได้ขับไล่ท่านออกจากเมืองดามัสกัช ท่านได้จากไปอยู่หมู่บ้านนะวา เหล่าอะละมาอ์พยายามของให้ท่านกลับมาอีกครั้ง แต่ท่านปฏิเสธ       การคัดค้านใดๆต่อผู้ปกครองที่อธรรมของท่านมีผลกระทบสูงมาก อันเนื่องจากท่านเป็นอุละมาอ์ทีอิสระ ไม่รับเงินเดือนจากใคร มีวีถีชีวิตที่พอเพียง การคัดค้านของท่านจะได้รับการสนับสนุนจากอุละมาอ์และมวลชนมุสลิมเสมอ
วาระสุดท้าย
  ท่านอิหม่ามอัน นะวาวียฺ ใช้ชีวิตในหมู่บ้านนะวาในช่วงสั้นๆ ท่านก็ล้มป่วยลง และเสียชีวิตในปี 1277 อายุเพียง 43 ปีเท่านั้น เมื่อข่าวการ
เสียชีวิตของท่านไปถึงดามัสกัช ผู้คนต่างพากันร้องให้ต่อการจากไปของอุละมาอ์ผู้อุทิศตัวให้แก่วิชาการ การมีชีวิตที่เรียบง่าย และมีความกล้าหาญ  ในหนังสือคำอธิบาย เศาะฮีฮฺ มุสลิม ของท่าน ท่านได้แสดงถึงความต้องการที่ให้หลุมฝังศพของท่านเป็นไปตามแบบอย่างของท่านนบีฯไม่ให้มีการสร้างความพิเศษใดๆให้แก่ท่าน และศิษย์ของท่านอิบนุ อัตตาร  ได้รายงานว่า เป็นความจริงที่ว่า ทุกครั้งที่ผู้คนได้เข้าไปสร้างโดมเหนือหลุมฝังศพของท่าน มันก็จะพังลงมา จนถึงทุกวันนี้หลุมฝังศพของท่านก็ยังอยู่ในสภาพธรรมดาได้มีโอกาศไปเยี่ยม อิมามนะวา  ที่ซูเรีย ท่านอิบนุอัฏฏ๊อร  ศิษย์ท่านอิมามอันนะวาวีย์  กล่าวว่า"ในขณะที่ท่านอิมามอันนะวาวีย์ถูกฝัง  ครอบครัวของท่านต้องการจะสร้างกุบบะฮ์(โดม)บนสุสาน  ดังนั้น  ท่านอิมามอันนะวาวีย์ได้มาหาเข้าฝันน้าสาวของท่าน  และกล่าวว่า "ท่านน้าสาวจงบอกแก่พี่น้องของฉันและกลุ่มชนด้วยว่า  อย่าให้พวกเขากระทำการเยี่ยงนี้ที่พวกเขาได้ตั้งใจทำการปลูกสร้าง  เพราะว่าทุกครั้งที่พวกเขาจะสร้างสิ่งใด(บนสุสานของฉันนั้น) มันก็จะพังทลายลงมา" ดังนั้น  พวกเขายังงดกระทำสิ่งดังกล่าว  และนำหินมาล้อมรอบสุสานท่านอิบนุฟัฏลุลลอฮ์  กล่าวว่า  พี่น้องของอิมามอันนะวาวีย์ คือชัยค์อับดุรเราะห์มาน  เล่าให้ฉันฟังว่า "ขณะที่อิมามอันนะวาวีย์ป่วยใกล้เสียชีวต เขาอยากทานแอ๊ปเปิ้ล  ดังนั้นจึงนำแอ๊ปเปิ้ลมาให้  แต่เขาทานมันไม่ได้  เมื่อเขาเสียชีวิต  สมาชิกในครอบครัวบางส่วนฝันเห็นท่าน  และกล่าวถามว่า  อะไรบ้างที่อัลเลาะฮ์ทรงปฏิบัติแก่ท่าน?  อิมามอันนะวาวีย์ตอบว่า  พระองค์ทรงให้เกียรติที่พำนักของฉัน  พระองค์ทรงรับการงานของฉัน  และสิ่งแรกที่พระองค์ทรงนำมาต้อนรับแขก  คือพระองค์ทรงนำแอ๊ปเปิ้ลให้แก่ฉัน" สานุศิษย์ของท่านบางส่วนเล่าให้ฉันฟังว่า  มีชายคนหนึ่งได้มาที่สุสานของท่านอิมามอันนะวาวีย์  และกล่าวว่า  ท่านใช่ไหม?  ที่ขัดแย้งกับอิมามอัรรอฟิอีย์  และท่านกล่าวว่า "ฉันขอกล่าวว่า...............(คือกล่าวทัศนะที่ค้านกับอิมามอัรรอฟิอีย์ตามการวินิจฉัยของท่านในหนังสืออัลมินฮาจญ์)" โดยเขาทำการชี้มือไปยังสุสานอิมามอันนะวาวีย์  ดังนั้นเมื่อเขายืนขึ้นแมงป่องจึงต่อยเขา" ฉัน(คืออิมามอัสสะยูฏีย์) ได้เห็นหนังสือ อิมบาอฺอัลฆุมัร ของท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุหะญัร  รอฮิมะฮุลลอฮ์  ในการนำเสนอประวัติของ อัลญะมาล อัรร๊อยมีย์  ผู้อธิบายหนังสือ อัตตัมบีฮ์  ว่า  "เขานั้นชอบพูดจาลดเกียรติชัยค์มั๊วะห์ยุดดีน(คืออิมามอันนะวาวีย์) ดังนั้นในขณะที่เขาได้เสียชีวิต  ขณะที่เขาอยู่สถานอาบน้ำมัยยิด มีแมวตัวหนึ่งได้คาบฉกลิ้นของเขาหลุดออกไป  ดังนั้นสิ่งดังกล่าวย่อมเป็นอุทาหรณ์แก่มวลมนุษย์"  ดู  หนังสือ  อัลมินฮาจญุสสะวีย์ ฟี ตัรญะมะติล อิมามอันนะวาวีย์  ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  หน้า 80 – 81
ในหนังสือ  อิมบาอฺอัลฆุมัร ของท่านชัยคุลอิสลาม อิบนุหะญัร  รอฮิมะฮุลลอฮ์  ระบุถ้อยคำดังนี้  ท่านอิบนุหะญัร กล่าวว่า "ท่านอัลญะมาล อันมิสรีย์ ได้กล่าวแก่ฉันว่า  อัรรีมีย์นั้นเหยียดหยามอิมามอันนะวาวีย์เป็นอย่างมาก   ในขณะปล่อยใกล้ตายนั้น  ฉันเห็นลิ้นของเขาล่อออกมาและมีสีดำ  ดังนั้นได้มีแมวตัวหนึ่งคาบฉกลิ้นของเขาหลุดออกไป   ดังนั้นสิ่งดังกล่าวย่อมเป็นอุทาหรณ์แก่มวลมนุษย์" ดู 3/48
ชีวิตทีสมถะอย่างยิ่งของอิหม่ามอันนะวียฺ นำไปสู่คำถามมากมายจากนักวิชาการรุ่นหลัง เพราะเป็นการปฏิบัติที่ยากที่ผู้อื่นจะทำได้
สรุปว่านี่เป็นลักษณะพิเศษที่เข้ากับธรรมชาติของท่าน เป็นธรรมชาติของผู้ใฝ่รู้ที่ได้อุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรู้    ท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  ร่อฮิมะฮุลลอฮ์  กล่าวว่า
ท่านชัยค์  อิบนุ  อัลอัฏฏ๊อร  กล่าวว่า "ชัยค์ อัศศ่อดูก  อบูลกอซิม  อัลมิซฺซีย์ - ซึ่งท่านเป็นหนึ่งในหมู่นักปราชญ์ผู้มีคุณธรรม - ได้บอกเล่าแก่ฉันว่า  เขาได้ฝันเห็นว่า    หมู่บ้านอัลมิซฺซะฮ์  มีธงมากมาย  และกลองได้ถูกตีขึ้น  ฉันจึงกล่าวว่า นี้มันอะไรกันหรือ? จึงถูกกล่าวแก่ฉันว่า  ค่ำคืนนี้  เป็นคืนที่ยะห์ยา อันนะวาวีย์  ได้ถูกตั้งแต่ให้เป็นหัวหน้า(กุตบ์ - คือวะลียุลลอฮ์ผู้เป็นแกนหลักแห่งโลกในยุคนั้นที่อัลเลาะฮ์ทรงให้การดูแลคุ้มครองเป็นพิเศษ)  ดังนั้น  ฉันจึงตื่นขึ้นมาจากนอน ทั้งที่ฉันเองไม่เคยรู้จักชัยค์อันนะวาวีย์มาก่อนเลยและไม่เคยได้ยินชื่อเขามาก่อนหน้านี้เลย  ฉะนั้น  ฉันจึงเข้าไปที่เมืองดิมัชก์ เพราะมีความต้องการบางอย่าง  ฉันจึงบอกสิ่งดังกล่าวให้ชายคนหนึ่งทราบ  เขาจึงกล่าวว่า  เขา(คือชัยค์อันนะวาวีย์) ก็คืออาจารย์แห่งดารุลฮะดิษ  ซึ่งในขณะนั้นเขากำลังนั่งอยู่ในนั้น  ฉันจึงเข้าไปหา  ดังนั้นในขณะที่ชัยค์อันนะวาวีย์มองมาที่ฉัน  เขาจึงลุกขึ้นมาทางด้านของฉัน  และกล่าวว่า "ท่านจงปกปิดสิ่งที่อยู่พร้อมกับท่าน(จากสิ่งที่ได้ฝันเห็น)และอย่าบอกเล่าให้คนใดฟัง" จากนั้นท่านชัยค์ก็กลับไปนั่งสถานที่เดิม"   ดู  หนังสือ  อัลมินฮาจญุสสะวีย์ ฟี ตัรญะมะติล อิมามอันนะวาวีย์  ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  หน้า 49 - 50
ชีวิตของท่านอยู่แบบเรียบง่าย ท่านรับประทานอาหารพื้นๆที่พ่อท่านส่งมาให้จากหมู่บ้านนะวา ท่านไม่ยอมรับประทานอาหารที่ดูมีระดับ ท่านให้เหตุผลว่า นั่นเป็นอาหารของพวกทรราชย์       
ท่านอิบนุอัฏฏ๊อร  กล่าวว่า  ท่านกอฏอ อัลกุฏอฮ์  ญะมาลุดดีน อัซซัรอีย์  ได้เล่าเรื่องราวของอิมามอันนะนาวีย์ให้ฟังว่า "ตอนท่านอันนะวาวีย์ยังหนุ่มมีคนไปหามาหาสู่ท่านบ่อย  (เขากล่าวว่า) วันในหนึ่งฉันได้ไปหาท่านอันนะวาวีย์  พบว่าท่านกำลังทาน ค่อซีเราะห์ (แป้งผสมนมในภาชนะที่ตั้งไฟให้ร้อน)  ดังนั้น สุไลมาน กล่าวว่า  ท่านจงรับประทานเถิด แต่ทว่าท่านอันนะวาวีย์ไม่ค่อยอยากจะรับประทานนัก  ฉะนั้นน้องของท่านไปลุกขึ้นและมุ่งไปที่ตลาด  นำเนื้อย่างและของหวานมาให้  และกล่าวกับท่านอันนะวาวีย์ว่า ท่านจงรับประทานเถิด  แต่ทว่าท่านอันนะวาวีย์ไม่กิน  ดังนั้นน้องชายกล่าวว่า  โอ้ท่านพี่  สิ่งนี้ฮะรอมกระนั้นหรือ?  ท่านอันนะวาวีย์กล่าวว่า  ไม่ฮะรอมหรอก  แต่มันเป็นอาหารของพวกทรราชย์"
ท่านอิบนุลอัฏฏ๊อร  กล่าวว่า   "ท่านอิมามอันนะวาวีย์ไม่รับประทานแอ๊บเปิ้ลของเมืองดิมัชก์  ฉันจึงถามถึงสาเหตุดังกล่าว  ท่านอันนะวาวีย์กล่าวว่า เมืองดิมัชก์นั้นมีที่ดินวะก๊าฟและที่ดินที่เป็นของผู้ถูกอายัตทรัพย์เยอะ  และการดำเนินการต่อแผ่นดินดังกล่าวนั้นไม่อนุญาตนอกจากบนหนทางที่ดี และทำการเกษตรแบบมะซากอฮ์(ในรูปแบบให้บุคคลหนึ่งเข้าไปทำการเพาะปลูกแล้วมาแบ่งปันผลผลิตที่ได้ตามที่ตกลงไว้)  ซึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้นักปราชญ์ก็มีทัศนะที่ขัดแย้งกัน  ซึ่งผู้ใดที่อนุญาต  ก็จะวางเงื่อนไขว่าต้องทำให้ดีอย่างถูกต้อง  แต่ทว่าบรรดาผู้คนไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขนี้  นอกจากเป็นเพียงส่วนหนึ่ง(ที่ดี)จากหนึ่งพันส่วนที่เป็นผลิตผลให้แก่ผู้ปกครอง  ดังนั้นฉันจะสบายใจที่ได้รับประทานสิ่งดังกล่าวได้อย่างไร?"
ท่านอิบนุลอัฏฏ๊อรกล่าวว่า  ท่านชัยค์ อัลอารีฟ อัลมุฮักกิก อบู อับดุลฮะลีม มุฮัมมัด อัลอัคมีนีย์  กล่าวแก่ฉันว่า  "ท่านชัยค์มั๊วะห์ยุดดีน(อันนะวาวีย์)นั้น  ได้ดำเนินตามแนวทางของซอฮาบะฮ์  ซึ่งในยุคสมัยนี้ฉันไม่เคยทราบเลยว่าจะมีบุคคลหนึ่งที่ดำเนินตามแนวทางของซะฮาบะฮ์นอกจากชัยค์มั๊วะห์ยุดดีนอันนะวาวีย์" ดู  หนังสือ  อัลมินฮาจญุสสะวีย์ ฟี ตัรญะมะติล อิมามอันนะวาวีย์  ของท่านอิมามอัสสะยูฏีย์  หน้า 45 - 47        
ท่านได้แต่งหนังสือชุดยิ่งใหญ่นี้ในช่วงท้ายๆของชีวิต ใช้เวลาเพียงแค่2 ปี ท่านยังได้อธิบายเศาะฮีฮฺ บุคอรียอีกด้วย แต่ไม่เสร็จ ท่านก็เสียชีวิตเสียก่อน
ท่านอิมามอันนะวาวีย์  ได้กล่าวไว้ในบทนำหนังสือ  อธิบายซอฮิห์อัลบุคอรีย์  ความว่า "สำหรับซอฮิห์อัลอบุคอรีย์นั้น  ฉันเริ่มรวบรวมตำราในการอธิบายซอฮิห์บุคอรีย์  ซึ่งมีขนาดปานกลางไม่สั้นจนเกินไปและไม่ยืดยาวคนเกินไป  ไม่สั้นจนทำให้บกพร่องและไม่ยาวจนทำให้เบื่อหน่าย  และหากแม้นว่าปณิธานไม่อ่อนแอลงและหากบรรดาผู้ปรารถนาในหนังสือแบบยืดยาวมีมาก  ฉันก็จะทำการอธิบายซอฮิห์บุคอรีย์ให้ถึงหนึ่งร้อยเล่ม  พร้อมกลับห่างไกลการอธิบายแบบกล่าวซ้ำและเพิ่มเติมแบบไร้ประโยชน์" ดังนั้น  หากท่านอิมามอันนะวาวีย์  ร่อฏิยัลลอฮุอันฮุ  มีอายุยืนยาว  ผมคิดว่าตำราของท่านคงล้นดุนยา

ประวัตของท่านอีหม่ามนาวาวียฺ 1

นะวาวียฺ เกิดปี ค.ศ 1233 ที่หมู่บ้านนะวา
ทางตอนใต้ของเมืองดะมัสกัช ซีเรีย เนื่องจากท่านมาจากหมู่บ้านนะวา ท่านจึงเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อัน นะวาวียฺ(ชาวนะวา)
ชีวิตในวัยเด็กและการศึกษา
            อิหม่ามอัน นะวาวียฺ ไม่ได้มาจากตระกูลผู้รู้เช่นอุละมาอ์จำนวนมาก พ่อของท่านมีสวนแปลงหนึ่ง ซึ่งได้ปลูกพืชมาเป็นอาหารแก่ครอบครัว
ลักษณะสำคัญของครอบครัวนี้ก็คือ ความเคร่งครัดในสิ่งที่ฮะลาล และหลีกเลี่ยงสิ่งที่จะรับประทานในสิ่งที่คลุมเครือ
            ในวัยเด็กอิหม่ามอัน นะวาวียฺ ไม่เหมือนเด็กทั่วไป คือไม่ชอบการละเล่นต่างๆ ดังนั้น ตั้งแต่วัยเด็กท่านชอบค้นคว้าศึกษาหาความรู้อย่างเอาจริงเอาจัง ท่านเกลียดกิจกรรมที่ทำให้ท่านห่างจากการท่องจำอัลกุรอาน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่พวกเด็กๆในหมู่บ้านบังคับให้ท่านไปเล่นปรากฏว่าอิหม่ามอัน นะวาวียฺ ถึงกับร้องให้ เพราะเสียดายเวลาที่สูญเสียไป จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ท่านสามารถท่องจำอัลกุรอานทั้งเล่มตั้งแต่วัยเด็ก
          เมื่อท่านอายุได้ 18 ปี พ่อได้นำท่านไปที่นครดามัสกัช เพื่อให้ท่านได้ศึกษาต่อ ที่นั่นท่านได้แสดงถึงความเป็นเลิศในการศึกษาท่านชำนาญในฟิกฮฺ มัซฮับชาฟิอียฺ ท่านสามารถท่องจำหนังสือต่างๆได้จำนวนมาก
          สถานที่ศึกษาแห่งแรกในดามัสกัชของท่านคือโรงเรียน ซารอมียะฮฺ จากนั้นก็ศึกษาต่อที่โรงเรียนรอฮาวียะฮฺ ท่านได้ใช้เวลาในการฟังบรรยายวันละ12 ชั่วโมง และเมื่ออายุได้ 24 ปี ท่าได้เริ่มสอนหนังสือที่โรงเรียนฟัชรอฟียะฮฺ ความเป็นเลิศทางวิชาการของท่านเป็นที่ยอมรับท่ามกลางนักปราชญ์ทั้งหลาย
บุคลิกภาพ
          อิหม่ามอัน นะวาวียฺ เป็นผู้สมถะอย่างยิ่ง ท่านอาศัยอยู่ในห้องพักเล็กๆที่มีหนังสือเต็มห้อง มีว่างเหลือสำหรับนั่งเท่านั้น ท่านได้ใช้เวลาทั้งหมดในแต่ละวันกับการหาความรู้และการสอนหนังสือ ท่านนอนหลับเพียงเล็กน้อยและตื่นขึ้นมาหาความรู้ต่อ ท่านเคยมุมานะในการเรียนจนกระทั่งว่ามีอยู่สองปีที่ท่านไม่ได้ล้มตัวลงนอนหลับ เพียงแต่นั่งหลับเท่านั้น แม้แต่ว่าท่านเดิน ท่านก็ไม่ยอมเสียเวลา จะใช้เวลานี้ท่องจำและทบทวนหนังสือ
           ชีวิตของท่านอยู่แบบเรียบง่าย ท่านรับประทานอาหารพื้นๆที่พ่อท่านส่งมาให้จากหมู่บ้านนะวา ท่านไม่ยอมรับประทานอาหารที่ดูมีระดับท่านให้เหตุผลว่า นั่นเป็นอาหารของพวกทรราชย์
          ท่านได้ถือศีลอดทุกวัน เว้นวันที่ศาสนาห้าม(ในทรรศนะของอัน นะวาวียฺ สามารถือศีลอดได้ทุกวัน ตราบที่ไม่ไปถือในวันที่ศาสนาห้าม เช่น วันอีด)ท่านเคยรับค่าตอบแทนในการสอนปีแรก แต่ท่านได้ใช้มันหมดไปกับการซื้อหนังสือ และต่อมาท่านไม่รับค่าตอบแทนอีกเลย ชีวิตทีสมถะอย่างยิ่งของอิหม่ามอันนะวียฺ นำไปสู่คำถามมากมายจากนักวิชาการรุ่นหลัง เพราะเป็นการปฏิบัติที่ยากที่ผู้อื่นจะทำได้

สรุปว่านี่เป็นลักษณะพิเศษที่เข้ากับธรรมชาติของท่าน เป็นธรรมชาติของผู้ใฝ่รู้ที่ได้อุทิศทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความรู้
            จุดเด่นของท่านก็คือ การที่ท่านรักหนังสือมาก ท่านได้เก็บสะสมหนังสือดีๆมากมาย รวมทั้งหนังสือหายาก เมื่ออุละมาอ์ที่มีชื่อท่านหนึ่งคือ
ท่านตาญุดดีน อัซ ซุบกียฺ ถูกขอให้ทำการทำการเรียบเรียงหนังสือที่อิหม่ามอัน นะวาวียฺ แต่งไว้ไม่เสร็จ ชื่อหนังสืออัล มัจญมูอฺ
ท่านซุบกียฺ ปฏิเสธ โดยให้เหตุผลว่า ท่านไม่มีหนังสืออ้างอิงเท่ากับที่อิหม่ามอัน นะวาวียฺ มีอยู่ คำถามอีกข้อหนึ่งที่มีต่อชีวิตของอิหม่ามอัน นะวาวียฺก็คือ เหตุใดท่านไม่แต่งงาน มีคำอธิบายมากมายจากนักวิชาการรุ่นหลัง แต่ดูเหมือนว่าคำอธิบายที่ชัดเจนที่สุดก็คือ ท่านปราศจากความต้องการความสุขในโลกนี้เช่นคนอื่นๆ ชีวิตของท่านปรารถนาแต่เพียงการแสงหาความรู้และการถ่ายทอดมันให้แก่อุมมะฮฺอิสลามเท่านั้น  ความจริง ครั้งหนึ่งท่านเคยสอนเรื่องแต่งงานว่าเป็นซุนนะฮฺอันยิ่งใหญ่ และท่านบอกว่าบางทีนี่เป็นเพียงซุนนะฮฺที่ท่านไม่สามารถทำได้ ท่านให้เหตุผลว่าฉันกลัวว่า ฉันอาจทำตามซุนนะฮฺหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันฉันต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำที่ต้องห้ามอื่นๆนั่นคือสิทธิของภรรยา