บทความที่ได้รับความนิยม

วันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2556

สุขสันต์วันอีด


ด้วยพระนามของอัลลอฮฺ ผู้ทรงเมตตา ปรานียิ่งเสมอ

สุขสันต์วันอีด

            สำหรับทุกๆ ประชาชาติจะมีวันอีด(วันรื่นเริง) เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ในวันดังกล่าวนั้นเองที่จะทำให้พวกเขาได้รื่นเริงและสุขสันต์กัน สำหรับวันอีดหรือวันรื่นเริงของเรานั้น มันคือวันที่ได้ผนวกไว้ด้วยความศรัทธา จรรยามารยาท และปรัชญาในการใช้ชีวิตของประชาชาตินี้เอาไว้ด้วย เพราะวันรื่นเริงบางประเภทของคนบางกลุ่มนั้นเป็นวันรื่นเริงเฉลิมฉลองที่คิดค้นขึ้นโดยสติปัญญาของมนุษย์ซึ่งห่างไกลและแตกต่างสิ้นเชิงจากแนวทางแห่งวิวรณ์(วะหฺยู)ของพระผู้เป็นเจ้า ในขณะที่ “วันอีดิลฟิฏรฺและวันอีดิลอัฎฮา” นั้น คือวันรื่นเริงที่มาจากอัลลอฮฺ ตะอาลา ซึ่งพระองค์ได้ทรงบัญญัติแก่ประชาชาติอิสลาม ตามที่ทรงได้ตรัสไว้ว่า
﴿وَلِكُلِّ أُمَّةٍ جَعَلْنَا مَنسَكًا
ความว่า และสำหรับทุก ๆ ประชาชาตินั้น เราได้กำหนดพิธีกรรมทางศาสนาให้พวกเขาแล้ว (สูเราะฮฺอัลหัจญ์ : 34)

ท่านอิบนุ ญะรีรได้บันทึกในหนังสือตัฟสีรของท่าน จากท่านอิบนุ อับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้กล่าวว่า مَنسَكًا หรือพิธีกรรมทางศาสนาในที่นี้หมายถึง “วันอีด” นั่นเอง (ตัฟสีรอิบนุ ญะรีร 17/198 และอัส-สุยูฏีย์ได้อ้างในตัฟสีร อัด-ดุรรุลมันษูรฺของท่าน 6/47 ไปถึงอิบนุ อบี หาติม)

วันอีดิลฟิฏรฺและวันอีดิลอัฎฮา คือวันที่เราได้ลุล่วงจากการปฏิบัติรุกุ่น(ส่วนสำคัญ)บางประการของอิสลามแล้ว ซึ่งสำหรับวันอีดิลฟิฏรฺนั้นจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ลุล่วงจากการถือศีลอดในเดือนเราะมะฎอน ส่วนวันอีดิลอัฎฮาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อได้ลุล่วงจากการประกอบพิธีหัจญ์ อันมีหลักฐานที่รายงานสืบต่อกันมาหลายกระแสที่ได้จำกัดจำนวนวันรื่นเริงในอิสลามเพียงแค่ 2 วันเท่านั้น นั่นคือ “วันอีดิลฟิฏรฺ” และ “วันอีดิลอัฎฮา” และจะไม่มีวันที่สามอย่างเด็ดขาด นอกจากวันอีดประจำสัปดาห์นั้นคือวันศุกร์ ซึ่งวันรื่นเริงอื่นจากนี้นั้นคือการอุปโลกน์ขึ้นมาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรายสัปดาห์ ตามเทศกาลหรือโอกาสใดโอกาสหนึ่ง หรืออาจจะเป็นรายปี และอื่นๆ
ท่านอิบนุล อะอฺรอบีย์ ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เหตุที่เรียกขานวันนั้นว่า “วันอีด” ก็เนื่องจากว่าในทุกๆปี มันจะหวนกลับมาพร้อมกับนำความรื่นเริงครั้งใหม่(มาสู่ประชาชาติ)” (ดูการอ้างถึงของอัล-อัซฮะรีย์ ในหนังสือ อัต-ตะฮฺซีบ 3/132)
ความหมายของวันอีดตามที่กล่าวมานี้ คือความหมายเดียวกับที่มีปรากฏในสุนนะฮฺของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ที่ถูกต้อง ซึ่งมีรายงานจากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา เล่าว่า
دَخَلَ أَبُو بَكْرٍ وَعِنْدِي جَارِيَتَانِ مِنْ جَوَارِي الأَنْصَارِ تُغَنِّيَانِ بِمَا تَقَاوَلَتْ الأَنْصَارُ يَوْمَ بُعَاثَ ، قَالَتْ : وَلَيْسَتَا بِمُغَنِّيَتَيْنِ ، فَقَالَ أَبُو بَكْرٍ : أَمَزَامِيرُ الشَّيْطَانِ فِي بَيْتِ رَسُولِ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ ! وَذَلِكَ فِي يَوْمِ عِيدٍ ، فَقَالَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ : «يَا أَبَا بَكْرٍ إِنَّ لِكُلِّ قَوْمٍ عِيدًا وَهَذَا عِيدُنَا».
ความว่า “ท่านอบูบักรฺ เราะฎิยัลลอฮฺอันฮุ ได้เข้ามาในบ้านฉัน ในขณะนั้นมีทาสหญิงของชาวอันศอรฺสองคนกำลังร้องรำทำเพลงเป็นทำนองที่ชาวอันศอรฺร้องกันในวันบุอาษ (วันที่เผ่าเอาซ์และค็อซรอจญ์ทำสงครามในอดีต) ซึ่งท่านหญิงอาอิชะฮฺได้กล่าวว่า ทั้งสองคนมิได้เป็นนักร้องเพลงแต่อย่างใด (คือไม่ได้ร้องประจำเป็นกิจวัตรหรือเป็นการเป็นงาน) ท่านอบูบักรฺ จึงกล่าวขึ้นว่า (เธอปล่อยให้)มีเสียงขลุ่ยแห่งชัยฏอนในบ้านของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กระนั้นหรือ ? เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในวันอีดหนึ่ง ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม  จึงกล่าวว่า “โอ้อบูบักรฺเอ๋ย แท้จริงแล้ว สำหรับทุกกลุ่มชนจะมีวันอีด(วันรื่นเริง)สำหรับพวกเขา และนี่เป็นวันอีด(วันรื่นเริง)ของพวกเรา(ชาวมุสลิมทุกคน)” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 952 และมุสลิม หมายเลขหะดีษ 892 )

 ดังนั้น “วันอีด” ในนัยด้านศาสนา ก็คือ เป็นวันแห่งการขอบคุณต่ออัลลอฮฺในโอกาสที่ได้ลุล่วงจากการปฏิบัติศาสนกิจอย่างสมบูรณ์
และ “วันอีด” ในนัยด้านมนุษยธรรม ก็คือ เป็นวันแห่งการพบปะกันระหว่างความเข้มแข็งของคนรวย กับความอ่อนแอของคนจน บนพื้นฐานแห่งความรัก ความเมตตา และความเที่ยงธรรม ที่เป็นคำสั่งสอนจากฟากฟ้า ภายใต้สัญลักษณ์ของการจ่ายซะกาต การเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และการให้ความสะดวกสบายในด้านต่างๆ
 และ “วันอีด” ในนัยด้านจิตวิญญาณ ก็คือ เส้นแบ่งระหว่างข้อกำหนดต่างๆ ที่อารมณ์ส่วนตัวต้องยอมรับและอวัยวะต่างๆ ต้องสิโรราบ กับการเปิดกว้างให้มีการรื่นเริงผ่อนคลายตามที่ชอบ และเป็นที่ปรารถนาของอารมณ์

วันอีดในอิสลามนั้นมีมารยาทและข้อปฏิบัติต่างๆ กำกับไว้ดังนี้
หนึ่ง : ให้สุขสันต์และปลื้มปิติกับการมาของวันอีด
            “วันอีด” ถือเป็นวันที่นำความสุขสันต์และความปลื้มปิติมายังเรา และไม่ใช่วันที่นำความทุกข์ใจและความเศร้าโศกหวนกลับมา ดังที่ท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้เล่าเรื่องนี้ว่า
رَأَيْتُ النَّبِيَّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ يَسْتُرُنِي وَأَنَا أَنْظُرُ إِلَى الْحَبَشَةِ وَهُمْ يَلْعَبُونَ فِي الْمَسْجِدِ فَزَجَرَهُمْ عُمَرُ، فَقَالَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ: «دَعْهُمْ أَمْنًا بَنِي أَرْفِدَةَ» يَعْنِي مِنْ الْأَمْنِ.
ความว่า “ฉันเห็นท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ปกปิดฉันไว้(ด้วยผ้าสไบของท่าน)และฉันก็มองดูชาวหะบะชะฮฺ(ชาวเผ่าเอธิโอเปีย)แสดงการละเล่นในมัสยิด(ในวันอีด) ซึ่งท่านอุมัรฺได้ห้ามปรามพวกเขา ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า “ปล่อยพวกเผ่าอัรฟิดะฮฺ(เป็นชื่อที่เรียกขานชาวหะบะชะฮฺ)ให้เล่นไปเถิด” หมายถึง ให้เล่นต่อไปโดยไม่ต้องกวนหรือสร้างความเดือดร้อนแก่พวกเขา” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 988 )

            ท่านอิบนุ หะญัรได้อธิบาย ในคำสั่งให้ปล่อยพวกเขาสุขสันต์ในวันทั้งสองไว้ว่า นั่นคือ “ในหะดีษนี้มีระบุถึงสาเหตุที่สั่งให้ปล่อยพวกเขาได้เล่นต่อ ... (วันอีดนั้นคือ)วันแห่งความปลื้มปิติตามบัญญัติทางศาสนา ซึ่งไม่ต้องไปห้ามการเล่นระเริงในลักษณะนี้ เหมือนกับที่ไม่ห้ามถ้าจะเล่นระเริงในวันแต่งงาน” (ฟัตหุลบารีย์ 2/442)
            ท่านอิบนุ อาบิดีนได้กล่าวว่า “สาเหตุที่ถูกเรียกขานวันนี้ว่าวันอีด เพราะอัลลอฮฺทรงนำความเมตตาและความดีงามต่างๆ ของพระองค์กลับคืนสู่บ่าวของพระองค์อีกครั้ง อาทิเช่น อนุญาตให้ละจากการถือศีลอดหลังจากที่พระองค์ทรงห้าม(เป็นเวลา 1 เดือนเต็ม) การแจกจ่ายซะกาตแก่คนจน การประกอบพิธีหัจญ์ได้สมบูรณ์ด้วยการเฏาะวาฟอิฟาเฎาะฮฺ การแจกจ่ายเนื้อสัตว์อุฎหิยะฮฺ(สัตว์กุรฺบาน)และอื่นๆ และเนื่องจากว่าโดยปรกติแล้วในวันนี้จะมีแต่ความสุข ความสนุกสนาน รื่นเริง กระฉับกระเฉง และมีสีสันสวยงาม” (หาชิยะฮฺ อิบนิ อาบิดีน 2/165)
“วันอีด” เป็นวันที่คนตรมทุกข์ได้รับสายลมแห่งความสุขพัดพาเข้ามา เป็นวันที่คนซึ่งข้นแค้นได้อยู่ในบรรยากาศของความสะดวกอีกครั้ง เป็นวันที่คนยากไร้สามารถลิ้มรสริสกีดีๆ ที่ตนไม่เคยมีมาก่อน และเป็นวันที่คนรวยเองก็สามารถสำราญกับความหอมหวานต่างๆ ในวันนั้นได้
“วันอีด” เป็นวันที่จิตใจอันดื้อด้านได้โอนอ่อนไปสู่ความดีงาม และเป็นวันที่จิตใจอันแข้งกระด้างพร้อมที่จะทำดีโดยบริสุทธ์ใจ
และ “วันอีด” เป็นวันที่ธรรมชาติในตัวมนุษย์ได้ดำเนินไปตามสันดานบริสุทธิ์อันดั้งเดิมของมัน และเป็นวันที่ความรู้สึกและความปรารถนาได้เผยออกมาให้เห็นตามที่มันเป็นจริง

สอง : ให้อาบน้ำชำระร่างกาย พรมน้ำหอม และแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สวยงามและดูดีที่สุด
วิธีการหนึ่งที่สามารถแสดงออกถึงความสุขสันต์และความรื่นเริงในวันอีดนั่นคือ ส่งเสริมให้อาบน้ำชำระร่างกาย พรมน้ำหอม และแต่งกายด้วยอาภรณ์ใหม่ที่สวยงามและดูดีที่สุด
มีรายงานจากท่านนาฟิอฺ ผู้รับใช้ท่านอับดุลลอฮฺ อิบนุ อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้เล่าว่า “ท่านอิบนุอุมัรฺ จะอาบน้ำชำระร่างกายในวันอีดิลฟิฏรฺก่อนที่ท่านจะเดินทางสู่สนามละหมาด” (บันทึกโดยอิมาม มาลิก ในอัล-มุวัฏเฏาะอ์ 1/177)
แต่ท่านอัล-บัซซารฺ ได้กล่าวว่า “ฉันไม่เคยบันทึกหะดีษที่เศาะฮีหฺเกี่ยวกับการอาบน้ำชำระร่างกายในวันอีดทั้งสองเลย” (ดูใน อัต-ตัลคีศ อัล-หะบีร 2/81)
และท่านอิบนุ อับดิลบัรฺ ได้กล่าวว่า “การอาบน้ำชำระร่างกายในวันอีดทั้งสองนั้น ไม่มีรายงานในเชิงการเล่าถึงที่ชัดเจนจากการปฏิบัติของท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม เลย” (อัต-ตัมฮีด 10/266)
แต่ก็มีรายงานที่น่าเชื่อถือได้จากการปฏิบัติของท่านอิบนุ อุมัรฺ ซึ่งท่านจะอาบน้ำชำระร่างกายในวันอีดทั้งสอง (บันทึกโดยอิมามมาลิก ในอัล-มุวัฏเฏาะอ์ ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง 1/146)
และมีรายงานจากนักนิติศาสตร์อิสลามมากมายที่พวกเขาเห็นพ้องกันว่า “ส่งเสริมให้อาบน้ำชำระร่างกายในวันอีดทั้งสอง”
ท่านอิบนุ อับดิลบัรฺ ได้กล่าวว่า “บรรดานักนิติศาสตร์อิสลามต่างเห็นพ้องกันว่า การอาบน้ำชำระร่างกายในวันอีดทั้งสองนั้น เป็นสิ่งที่ดีงามสำหรับคนที่ปฏิบัติมัน” (อัล-อิสติซการฺ 7/1)
ท่านอิบนุ รุชดฺ ได้กล่าวว่า “บรรดานักวิชาการมีมติเอกฉันท์เห็นดีเห็นงามให้มีการอาบน้ำชำระร่างกายเพื่อละหมาดในวันอีดทั้งสอง” (บิดายะฮฺ อัล-มุจญ์ตะฮิด 1/216)
และบรรดานักติศาสตร์อิสลามโดยรวมต่างก็เห็นว่า “ส่งเสริมให้พรมน้ำหอมและแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สวยงามและดูดีที่สุด”
ท่านอับดุลลอฮฺ บิน อุมัรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้เล่าว่า ท่านอุมัรฺ ได้นำเสื้อยาวที่ทำมาจากผ้าไหมหนา(อิสตับร็อก)ที่วางขายอยู่ที่ตลาดมาเสนอแก่ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม พลันกล่าวว่า “โอ้ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ท่านจงซื้อเสื้อตัวนี้ไว้แต่งตัวให้สวยงามในวันอีดและวันที่มีแขก(สำคัญ)มาหาท่านเถิด ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงกล่าวว่า
«إنّمَا هَذِهِ لِبَاسُ مَنْ لَّا خَلاَقَ لَهُ»
ความว่า “อาภรณ์นี้ เป็นเสื้อผ้าสำหรับคนที่ไม่มีผลบุญในอาคิเราะฮฺ” (อัล-บุคอรีย์ 948)

ท่านอิบนุ กุดามะฮฺ ได้กล่าวว่า “หะดีษนี้ทำให้เข้าใจว่า แท้จริงแล้วการแต่งตัวให้สวยงามในวันต่างๆ เหล่านี้ - หมายถึง วันศุกร์ วันอีด และวันที่มีการรับแขกสำคัญ - นั้น เป็นประเพณีที่รู้กันว่าได้ปฏิบัติกันมาในหมู่พวกเขา” (อัล-มุฆนีย์ 5/257)
ท่านอิมามมาลิก ได้กล่าวว่า “ฉันได้ยินว่า บรรดานักวิชาการทั้งหลายนั้น ต่างก็ส่งเสริมให้พรมน้ำหอมและแต่งกายด้วยอาภรณ์ที่สวยงามและดูดีที่สุดในทุกวันอีด โดยเฉพาะคนที่เป็นอิมาม เพราะผู้คนทั้งหลายนั้นจะให้ความสนใจไปยังเขา” (อัล-มุฆนีย์ 5/258)

สาม : สุนนะฮฺเฉพาะในแต่ละวันอีด
ส่งเสริมให้รับประทานผลอินทผลัมจำนวนหนึ่ง ก่อนที่จะออกเดินทางสู่สนามละหมาดสำหรับวันอีดิลฟิฏรฺ ดังที่ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม และบรรดาเศาะหาบะฮฺได้ทำไว้เป็นแบบอย่าง (อัล-เอาสัฏ โดยอิบนุล มุนซิร 4/254)
ท่านอะนัส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
كَانَ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ لَا يَغْدُو يَوْمَ الْفِطْرِ حَتَّى يَأْكُلَ تَمَرَاتٍ وَيَأْكُلُهُنَّ وِتْرًا
ความว่า “ท่านเราะสูลุลลอฮฺจะไม่ออกเดินทางสู่สนามละหมาดในวันอีดิลฟิฏรฺ จนกว่าท่านจะรับประทานผลอินทผลัมเสียก่อน ซึ่งท่านรับประทานด้วยจำนวนที่เป็นคี่”(บันทึกโดย อัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 953)

ท่านอิบนุอับบาส เราะฎิยัลลอฮุอันฮุมา ได้เล่าว่า “หากพวกท่านมีความสามารถที่จะไม่ออกเดินทางสู่สนามละหมาดในวันอีดิลฟิฏรฺจนกว่าจะรับประทานอาหารเสียก่อน ก็จงทำเถิด” (บันทึกโดย อับดุรร็อซซาก หมายเลข 5734 และอิบนุล มุนซิร หมายเลข 2111)
ส่วนในวันอีดิลอัฎฮานั้นส่งเสริมให้รับประทานอาหารหลังจากเดินทางกลับจากละหมาดแล้ว ดังที่อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้กล่าวว่า
﴿إِنَّا أَعْطَيْنَاكَ الْكَوْثَرَ،  فَصَلِّ لِرَبِّكَ وَانْحَرْ، إِنَّ شَانِئَكَ هُوَ الْأَبْتَرُ 
ความว่า แท้จริงเราได้ประทานสระน้ำอัล-เกาษัรฺแก่เจ้าแล้ว ดังนั้นเจ้าจงละหมาดเพื่อพระเจ้าของเจ้า และจงเชือดสัตว์พลี แท้จริงศัตรูของเจ้านั้นเขาเป็นผู้ถูกตัดขาด” (อัล-เกาษัรฺ : 1-3)

และส่งเสริมให้ใช้เส้นทางไปและกลับที่ต่างกัน (ไม่ว่าจะเดินเท้าหรือใช้ยานพาหนะ) ท่านญาบิรฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าเรื่องนี้ว่า
كَانَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ إِذَا كَانَ يَوْمُ عِيدٍ خَالَفَ الطَّرِيقَ
ความว่า “ในวันอีด ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จะใช้เส้นทาง(ไปและกลับจากสนามละหมาด)ที่ต่างกัน” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 986)

เช่นเดียวกัน ส่งเสริมให้กล่าวตักบีรฺ(ตลอดทางสู่สนามละหมาด) จากท่านอัล-วะลีด บิน มุสลิม ได้เล่าว่า ฉันได้ถามท่านอัล-เอาซาอีย์ และท่านมาลิก บิน อะนัส ในประเด็นการกล่าวตักบีรฺในวันอีดทั้งสอง ซึ่งท่านทั้งสองได้ตอบว่า “ใช่แล้ว ท่านอับดุลลอฮฺ บิน อุมัรฺ (เมื่อท่านเดินทางออกจากบ้านท่านก็)จะยกเสียงตักบีรฺตลอด(จนไปถึงสนามละหมาด และยังคงกล่าวตักบีรฺต่อไป)จนกระทั่งอิมามนำละหมาดเดินทางมาถึง”
และมีรายงานที่ถูกต้องจากท่านอบู อับดุรเราะหฺมาน อัส-สุละมีย์ ได้กล่าวว่า “พวกเขา(เศาะหาบะฮฺ)จะกล่าวตักบีรฺในวันอีดิลฟิฏรฺอย่างจริงจังมากกว่าในวันอีดิลอัฎฮา” (อิรวาอุล เฆาะลีลฺ 3/122)
มีรายงานที่น่าเชื่อถือได้จากการปฏิบัติของท่านอิบนุ มัสอูด เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ บันทึกโดยอิบนุ อบี ชัยบะฮฺ ซึ่งท่านอิบนุ มัสอูด ได้กล่าวตักบีรฺว่า
الله أكبر، الله أكبر، لا إله إلا الله، والله أكبر، الله أكبر ولله الحمد
อัลลอฮุ อักบัรฺ, อัลลอฮุ อักบัรฺ (หรืออาจจะเพิ่มอีกครั้งว่า อัลลอฮุ อักบัรฺ), ลาอิละฮะอิลลัลลอฮฺ, วัลลอฮุ อักบัรฺ, อัลลอฮุ อักบัรฺ, วะลิลลาฮิล หัมดฺ
ความว่า “อัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ ไม่มีพระเจ้าที่แท้จริงนอกจากอัลลอฮฺ และอัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ และมวลการสรรเสริญทั้งหลายเป็นกรรมสิทธิ์ของอัลลอฮฺ” โดยให้กล่าวตักบีรฺ “อัลลอฮุ อักบัรฺ” ท่อนแรกนั้นสองครั้ง แต่ในสายรายงานอื่นจากท่านอิบนุ อบีชัยบะฮฺเช่นเดียวกัน ให้กล่าวตักบีรฺ “อัลลอฮุ อักบัรฺ” ท่อนแรกนั้นสามครั้ง ซึ่งสายรายงาน(ทั้งสอง)มีความถูกต้อง (ตะมามุล มินนะฮฺ โดยชัยคฺ อัล-อัลบานีย์ 356)

ท่านอิบนุ หะญัร ได้กล่าวว่า “สำนวนที่ถูกต้องที่สุดคือ สำนวนที่บันทึกโดยท่านอับดุรร็อซซาก ด้วยสายรายงานที่ถูกต้อง จากท่านสัลมาน อัล-ฟาริสีย์ ได้กล่าวว่า จงกล่าวตักบีรฺโดยการกล่าวว่า
 الله أكبر، الله أكبر، الله أكبر كبيراً
อัลลอฮุ อักบัรฺ, อัลลอฮุ อักบัรฺ, อัลลอฮุ อักบะรุ กะบีรอ
ความว่า “อัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺคือผู้ยิ่งใหญ่ อัลลอฮฺคือผู้เป็นที่สุดแห่งความยิ่งใหญ่” (ฟัตหุลบารีย์ 2/536)

และห้ามถือศีลอดในวันอีดทั้งสอง ดังที่ท่านอบู สะอีด อัล-คุดรีย์ ได้เล่าว่า
نَهَى النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ عَنْ صَوْمِ يَوْمِ الْفِطْرِ وَالنَّحْرِ
ความว่า “ท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ห้ามไม่ให้ถือศีลอดในวันอีดิลฟิฏรฺและวันนะหัรฺ(วันอีดิลอัฎฮา)” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 1991 ดูใน ฟัตหุลบารีย์ 3/280, 10/26 และบันทึกโดยมุสลิม 2/799)

ท่านอัน-นะวาวีย์ เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า “บรรดานักวิชาการต่างมีมติเป็นเอกฉันท์ว่าห้ามถือศีลอดในวันอีดทั้งสองอย่างเด็ดขาด ไม่ว่าจะเป็นการถือศีลอดนะซัรฺ(การบนบานต่อพระผู้เป็นเจ้า) หรือสุนัต หรือชดเชย(กัฟฟาเราะฮฺ) หรืออื่นๆ ก็ตาม ถือแม้ว่าเขาจะเจาะจงนะซัรฺถือศีลอดในวันสองวันนั้นก็ตาม ตามทัศนะของมัซฮับชาฟิอีย์และนักวิชาการส่วนใหญ่แล้ว ไม่ถือว่าการนะซัรฺของเขามีผลบังคับให้เขาต้องถือศีลอด และไม่จำเป็นต้องถือศีลอดชดเชยด้วย” (ชัรหุ เศาะฮีหฺ มุสลิม โดยอัน-นะวาวีย์ 8/15)
นักวิชาการบางท่านได้กล่าวว่า “เหตุผลของการห้ามถือศีลอดในวันอีดทั้งสองนั้น เพราะว่าการถือศีลอดในวันนั้นเสมือนเป็นการปฏิเสธสิ่งที่อัลลอฮฺได้จัดเลี้ยงรับรองให้กับเขา” (นัยลุลเอาฏอรฺ 4/262)

สี่ : กล่าวอวยพรให้แก่กันในวันอีด
ท่านญุบัยรฺ บิน นุฟัยรฺ ได้เล่าเรื่องนี้ว่า “ทุกครั้งที่บรรดาเศาะหาบะฮฺของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มาเจอกันในวันอีด พวกเขาจะกล่าวให้แก่กันว่า
تَقَبَّلَ اللهُ مِناَّ وَمِنْكَ
ตะก็อบบะลัลลอฮุ มินนา วะ มินกะ
ความว่า “ขออัลลอฮฺทรงรับ(การงาน)ทั้งจากเราและจากท่าน” (ท่านอิมามอะหฺมัด ได้กล่าวว่า สายรายงานของมัน ญัยยิด(ใช้ได้) ท่านอิบนุหะญัร ได้กล่าวว่าสายรายงานของมัน หะสัน(ระดับดี) ในฟัตหุล บารีย์ 2/517 และดูในตะมามุล มินนะฮฺ โดยชัยคฺ อัล-อัลบานีย์ หน้า 354-356)

การกล่าวอวยพรให้แก่กันในวันอีดนั้น จะบ่มเพาะความรักในหัวใจของผู้คน ด้วยเหตุนี้จึงส่งเสริมให้เดินทางไปละหมาดในวันอีดโดยให้ใช้เส้นทางไปและกลับที่ต่างกัน เพื่อให้ผู้ศรัทธาทั้งหลายสามารถกล่าวอวยพรให้แก่กันได้มากที่สุด

ห้า  : กระชับความสัมพันธ์และสร้างมิตรไมตรีกับครอบครัวและญาติพี่น้อง
ในความเป็นจริง การกระชับความสัมพันธ์และสร้างมิตรไมตรีกับครอบครัวและญาติพี่น้องนั้นถือเป็นสิ่งที่ส่งเสริมให้ปฏิบัติในทุกโอกาสอยู่แล้ว แต่ ณ ที่นี้ เป็นการเน้นย้ำให้ปฏิบัติในวันอีดทั้งสอง โดยเฉพาะกับพ่อแม่ของเรา เพราะมันจะเป็นสิ่งที่นำความเบิกบานนำสู่ท่านทั้งสอง ซึ่งเป็นการตอบสนองคำสั่งใช้ของอัลลอฮฺในคัมภีร์ของพระองค์ให้ทำดีต่อท่านทั้งสอง อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตรัสว่า
﴿وَالَّذِينَ يَصِلُونَ مَا أَمَرَ اللَّـهُ بِهِ أَن يُوصَلَ وَيَخْشَوْنَ رَبَّهُمْ وَيَخَافُونَ سُوءَ الْحِسَابِ
ความว่าและบรรดาผู้เชื่อมสัมพันธ์ในสิ่งที่อัลลอฮฺทรงบัญชาให้เขาเชื่อมสัมพันธ์ และยำเกรงพระเจ้าของพวกเขา และกลัวการมีบัญชีที่ชั่ว(สูเราะฮฺ อัร-เราะอฺดุ : 21)

มีรายงานจากท่านอิบนุ ชิฮาบ ได้เล่าว่า ท่านอะนัส บินมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«مَنْ أَحَبَّ أَنْ يُبْسَطَ لَهُ فِي رِزْقِهِ ، وَيُنْسَأَ لَهُ فِي أَثَرِهِ ، فَلْيَصِلْ رَحِمَهُ»
ความว่า “ผู้ใดก็ตามชอบที่จะให้เงินทองไหลมาเทมาและมีอายุยืน (มีความบาเราะกะฮฺในชีวิต)แล้ว เขาจงกระชับความสัมพันธ์กับญาติของเขาเถิด” (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 2067 มุสลิม หมายเลขหะดีษ 6615 และอะหฺมัด หมายเลขหะดีษ 13620)

ในจำนวนวิธีการเชื่อมสัมพันธ์และทำดี ก็คือการเอาใจใส่เด็กกำพร้า อัลลอฮฺ ตะอาลา ได้ตรัสถึงการกระชับความสัมพันธ์กับเด็กกำพร้าและการโอบอ้อมอารีต่อพวกเขาไว้ว่า
﴿فَأَمَّا الْيَتِيمَ فَلَا تَقْهَرْ، وَأَمَّا السَّائِلَ فَلَا تَنْهَرْ ، وَأَمَّا بِنِعْمَةِ رَبِّكَ فَحَدِّثْ
ความว่า ดังนั้นส่วนเด็กกำพร้าเจ้าอย่าข่มขี่ และส่วนผู้เอ่ยขอนั้น เจ้าอย่าตวาดขับไล่ และส่วนความโปรดปรานแห่งพระเจ้าของเจ้านั้น เจ้าจงแสดงออก (สูเราะฮฺ อัฎ-ฎุหา 9-11)

มีรายงานจากท่านสะฮัลฺ บิน สะอัด ได้เล่าว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวว่า
«أَنَا وَكَافِلُ الْيَتِيمِ كَهَاتَيْنِ فِى الْجَنَّةِ» وَأَشَارَ بِالسَّبَّابَةِ وَالْوُسْطَى ، وَفَرَّقَ بَيْنَهُمَا قَلِيلاً
ความว่า ฉันและผู้อุปการะเด็กกำพร้าจะได้อยู่ในสวรรค์เช่นนี้แหละ” ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้ชูนิ้วชี้กับนิ้วกลางขึ้นแล้วแยกออกจากกันเล็กน้อย (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 5304 และอะหฺมัด หมายเลขหะดีษ 23208)

เศาะหาบะฮฺท่านหนึ่งได้เข้าไปในมัสญิด แต่เขาต้องหยุดชะงักเมื่อได้เห็นเด็กน้อยคนหนึ่ง อายุประมาณ 11 ปี กำลังยืนละหมาดด้วยความนอบน้อมและมีสมาธิ(คุชูอฺ) ภายหลังจากเด็กน้อยเสร็จจากการละหมาดแล้ว เศาะหาบะฮฺท่านนั้นจึงถามเด็กน้อยว่า “เด็กน้อย เจ้าเป็นลูกของใครหรือ ?” เด็กน้อยจึงตอบว่า “ฉันเป็นเด็กกำพร้า” เศาะหาบะฮฺท่านนั้นจึงถามอีกว่า “เจ้าพอใจมั้ย หากจะให้ฉันเป็นพ่อของเจ้า ?” เด็กน้อยจึงตอบว่า “ท่านจะให้อาหารแก่ฉัน เมื่อฉันหิวมั้ย ?” เศาะหาบะฮฺท่านนั้นจึงตอบว่า “ใช่แล้ว” เด็กน้อยถามต่อว่า “ท่านจะให้เครื่องดื่มแก่ฉัน เมื่อฉันกระหายมั้ย ?” เศาะหาบะฮฺท่านนั้นจึงตอบว่า “ใช่แล้ว” เด็กน้อยถามต่ออีกว่า “ท่านจะให้อาภรณ์แก่ฉัน เมื่อฉันไม่มีอะไรจะใส่มั้ย ?” เศาะหาบะฮฺท่านนั้นจึงตอบว่า “ใช่แล้ว” เด็กน้อยจึงถามเป็นคำถามสุดท้ายว่า “ท่านจะให้ฉันมีชีวิต เมื่อฉันได้ตายมั้ย ?” เศาะหาบะฮฺท่านนั้นตกใจกับคำถามสุดท้ายที่ได้ฟังและตอบว่า “นี่...มันเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้” เด็กน้อยจึงกล่าวว่า “ดังนั้น จงปล่อยฉันไปเถิด ปล่อยฉันให้กับอัลลอฮฺผู้ที่สร้างฉัน ประทานปัจจัยยังชีพแก่ฉัน ให้ฉันได้ตายไป และให้ฉันมีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง” เมื่อเป็นเช่นนั้น เศาะหาบะฮฺท่านนั้นก็จากไปพลางกล่าวว่า “แน่แท้ ผู้ที่มอบหมายต่ออัลลอฮฺ พระองค์ก็จะทรงทำให้เขามีความเพียงพอแล้ว”

หก : จัดงานเลี้ยงฉลองให้แก่ครอบครัวและประกาศความรื่นเริงสุขสันต์ในวันอีด
ไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ที่จะจัดงานเลี้ยงฉลองในวันอีดโดยปราศจากความสุรุ่ยสุร่าย เพราะท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้กล่าวถึงวันอีดิลอัฎฮาว่า
«أَيَّامُ التَّشْرِيقِ أَيَّامُ أَكْلٍ وَشُرْبٍ ، وَذِكْرِ اللهِ عَزَّ وَجَلَّ»
ความว่า “วันตัชฺรีกทั้งสาม คือวันแห่งการกินการดื่มและวันกล่าวรำลึกถึงอัลลอฮฺ” (บันทึกโดยอะหฺมัด หมายเลขหะดีษ 20722)

ชายคนหนึ่งเข้ามาหาท่านอะลี บิน อบี ฏอลิบ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ในวันอีดิลฟิฏรฺ ซึ่งพบว่าท่านกำลังทานอาหารที่แข็งและหยาบ ชายคนนั้นจึงกล่าวต่อท่านว่า “โอ้ผู้นำของเหล่าผู้ศรัทธา ... ท่านทานอาหารที่แข็งและหยาบในวันอีดหรือ ?” ท่านอะลี จึงตอบไปว่า “พึงทราบเถิด.. โอ้พี่น้องของฉัน วันอีดนั้นมีไว้สำหรับผู้ที่อัลลอฮฺได้ตอบรับการถือศีลอดของเขา และพระองค์ก็ให้อภัยโทษแก่เขาแล้ว” แล้วท่านก็ได้กล่าวแก่เขาอีกว่า “วันนี้สำหรับเราแล้วคือวันอีด พรุ่งนี้สำหรับแล้วก็คือวันอีด และทุกๆ วันที่เราไม่ฝ่าฝืนต่ออัลลอฮฺ นั่นคือวันอีดสำหรับเรา” 
เช่นเดียวกัน อนุญาตให้มีการละเล่นในวันอีดได้ ดังที่มีหะดีษซึ่งบันทึกโดย อบู ดาวูด และอัน-นะสาอีย์ด้วยสายสือที่เศาะฮีหฺจากท่านอะนัส บินมาลิก เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เล่าว่า
كَانَ لِأَهْلِ الْجَاهِلِيَّةِ يَوْمَانِ فِي كُلِّ سَنَةٍ يَلْعَبُونَ فِيهِمَا، فَلَمَّا قَدِمَ النَّبِيُّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ الْمَدِينَةَ، قَالَ: «كَانَ لَكُمْ يَوْمَانِ تَلْعَبُونَ فِيهِمَا، وَقَدْ أَبْدَلَكُمْ اللهُ بِهِمَا خَيْرًا مِنْهُمَا، يَوْمَ الْفِطْرِ وَيَوْمَ الْأَضْحَى»
ความว่า ในยุคก่อนอิสลามนั้น ประชาชนเคยเฉลิมฉลองวันสำคัญสองวันทุกๆ ปี เมื่อท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม มายังมะดีนะฮฺ ท่านประกาศว่า “พวกท่านเคยมีวันเฉลิมฉลองกันสองวัน แต่อัลลอฮฺได้ทรงเปลี่ยนสองวันนั้นด้วยสองวันที่ประเสริฐกว่า นั่นคือวันอีดิลฟิฏรฺและวันอีดิลอัฎฮา (บันทึกโดยอัน-นะสาอีย์ หมายเลขหะดีษ 1555)

และมีหะดีษที่บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ มุสลิม และอะหมัด จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ได้เล่าเช่นเดียวกันว่า
أَنَّ الْحَبَشَةَ كَانُوا يَلْعَبُونَ عِنْدَ رَسُول اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ فِي يَوْمِ عِيدٍ، قَالَتْ فَاطَّلَعْتُ مِنْ فَوْقِ عَاتِقِهِ، فَطَأْطَأَ لِي رَسُول اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ مَنْكِبَيْهِ، فَجَعَلْتُ أَنْظُرُ إِلَيْهِمْ مِنْ فَوْقِ عَاتِقِهِ حَتَّى شَبِعْتُ ثُمَّ انْصَرَفْتُ
ความว่า มีทาสชาวหะบะชะฮฺ(อบิสสิเนีย)มาแสดงการละเล่น(บริเวณมัสญิด)ในวันอีด ต่อหน้าท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ซึ่งฉันได้มองดูพวกเขาเล่นโดยตั้งคางบนไหล่ของท่าน และท่านก็ได้ย่อไหล่ทั้งสองของท่านให้ฉัน และแล้วฉันก็ชมการละเล่นดังกล่าวจากบนไหล่ของท่าน จนกระทั่งฉันได้ดูจนพอใจแล้วฉันก็จากไป (บันทึกโดยอะหฺมัด หมายเลขหะดีษ 24296)

ส่วนการขับร้องเพลง การฟังเสียงดนตรี หรือเสียงขับร้องเป็นทำนองที่ศาสนาอนุญาตนั้น มีหะดีษที่บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ มุสลิม และอะหมัด จากท่านหญิงอาอิชะฮฺ เราะฎิยัลลอฮุอันฮา ซึ่งเคยเล่าเรื่องนี้ว่า
دَخَلَ عَلَيَّ رَسُولُ اللهِ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، وَعِنْدِي جَارِيَتَانِ تُغَنِّيَانِ بِغِنَاءِ بُعَاثَ، فَاضْطَجَعَ عَلَى الْفِرَاشِ وَحَوَّلَ وَجْهَهُ، وَدَخَلَ أَبُو بَكْرٍ فَانْتَهَرَنِي، وَقَالَ: مِزْمَارَةُ الشَّيْطَانِ عِنْدَ النَّبِيِّ صَلَّى اللهُ عَلَيْهِ وَسَلَّمَ، فَأَقْبَلَ عَلَيْهِ رَسُولُ اللهِ عَلَيْهِ السَّلَام، فَقَالَ: دَعْهُمَا – وفي رواية –  يَا أَبَا بَكْرٍ إِنَّ لِكُلِّ قَوْمٍ عِيدًا، وَهَذَا عِيدُنَا» فَلَمَّا غَفَلَ غَمَزْتُهُمَا فَخَرَجَتَا
ความว่า ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ได้เข้ามาหาฉัน ซึ่งขณะนั้นมีเด็กรับใช้หญิงสองคนกำลังร้องเพลงของสงครามบุอาษฺอยู่ แล้วท่านนบี ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ก็เอนกายลงนอนตะแคงบนที่นอนพร้อมกับผินหน้าไปทางอื่น หลังจากนั้นท่านอบูบักรฺ ก็เข้ามาในบ้าน พออบู บักรฺเห็นเด็กสองคนนั้นก็เตือนฉันว่า (เธอปล่อยให้)มีเสียงขลุ่ยแห่งชัยฏอนในบ้านของท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม กระนั้นหรือ ? ท่านเราะสูลุลลอฮฺ ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม จึงหันมากล่าวแก่ท่านอบูบักรฺว่า “ปล่อยให้พวกเขาเล่นไปเถิด เพราะทุกๆประชาชาติจะมีวันอีด และวันนี้เป็นวันอีดของเรา” และหลังจากที่ท่านเผลอ ฉันก็ให้เด็กทั้งสองรีบออกไป (บันทึกโดยอัล-บุคอรีย์ หมายเลขหะดีษ 949, 952)

เจ็ด : หลีกห่างจากการรื่นเริงที่หะรอม ไม่ดี และอุตริกรรมทั้งหลาย
วันอีดในอิสลาม เป็นวันที่มีความสงบและมีเกียรติ เป็นวันที่มอบความยิ่งใหญ่แด่ผู้ทรงเป็นเอกะ ผู้ทรงอนุภาพ และเป็นวันที่เราได้หลุดพ้นจากสาเหตุของความพินาศและการเข้าสู่ไฟนรก
วันอีด คือสนามแห่งการแข่งขันกันทำความดีและการได้รับเกียรติ
วันอีด ไม่ได้มีสำหรับการสวมเสื้อผ้าใหม่ แต่วันอีดมีไว้สำหรับผู้ที่ความยำเกรงของเขาได้เพิ่มพูนขึ้น
วันอีด ไม่ได้มีสำหรับการสวมเสื้อผ้าและรองเท้าที่สวย แต่วันอีดมีไว้สำหรับผู้ที่อัลลอฮฺได้ให้อภัยในความผิดของเขาไปแล้ว
วันอีด ไม่ได้มีสำหรับผู้ที่ได้รับของกำนัลด้วยเงินหรือทอง แต่วันอีดมีไว้สำหรับผู้ที่ได้เชื่อฟังยำเกรงต่อผู้ทรงเดชานุภาพและผู้ที่ทรงมากด้วยการให้อภัย
วันอีด ไม่ได้มีสำหรับผู้ที่ชื่นชอบการสวมเสื้อผ้าที่ใหม่ แต่วันอีดมีไว้สำหรับผู้ที่ยำเกรงต่อพระผู้ทรงอภิบาลแห่งปวงบ่าว และเกรงกลัวต่อวันที่ถูกสัญญา (วันกิยามะฮฺ) และทำอะมัลเพื่อวันนั้น
วันอีด ไม่ได้มีสำหรับการสวมเสื้อผ้าอย่างโอ่อ่า แต่วันอีดมีไว้สำหรับผู้ที่ทำอะมัลและเกรงกลัวต่อวันโลกหน้า
มีรายงานว่า แท้จริง บรรดามลาอิกะฮฺจะลงมาจากฟากฟ้าในช่วงเช้าของวันอีดิลฟิฏรฺ และจะหยุดยืนอยู่บนเส้นทางทั้งหลาย แล้วจะเรียกร้องประชาชาติของท่านนบีมุหัมมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะสัลลัม ว่า “จงเดินไปยังพระผู้อภิบาลผู้ทรงเกียรติเถิด พระองค์จะทรงประทานความดีงามและจะประทานผลบุญต่างๆ แด่ท่าน แท้จริงพวกท่านถูกสั่งใช้ให้ถือศีลอด พวกท่านก็ถือศีลอด พวกท่านถูกสั่งใช้ให้ยืนกิยามุลลัยลฺพวกท่านก็ลุกขึ้นละหมาด และพวกท่านได้ยำเกรงต่อพระผู้อภิบาลของพวกท่าน ดังนั้น พวกท่านจงกลับไปในสภาพที่ได้รับการอภัยโทษแล้วเถิด” และมีการเรียกขานวันนี้ในหมู่บรรดาผู้ที่อยู่บนฟากฟ้า(หมู่มะลาอิกะฮฺและผู้ใกล้ชิดอัลลอฮฺ)ว่าเป็นวันแห่งการมอบรางวัล
วันอีดในอิสลามมีความสงบและมีเกียรติ เป็นวันที่มอบความยิ่งใหญ่แด่ผู้ทรงเป็นเอกะ ผู้ทรงอนุภาพ และหลุดพ้นจากต้นเหตุของความพินาศและการเข้าสู่ไฟนรก
ท่านอิมามมาลิก บิน อะนัส เราะหิมะฮุลลอฮฺ ได้กล่าวว่า สำหรับผู้ศรัทธาแล้วมีวันอีดทั้งหมด 5 วันด้วยกัน นั่นคือ
1.      ผู้ศรัทธาที่ชีวิตของเขาผ่านไปในแต่ละวัน โดยที่เขาไม่ได้ถูกบันทึกแม้เพียง 1 ความชั่วก็ตามที นั่นคือวันอีดสำหรับเขา
2.      วันที่เขาได้จากโลกนี้ไปด้วยสภาพของการมีศรัทธา นั่นก็คือวันอีดเช่นกัน
3.      วันที่เขาผ่านพ้นสะพานอัศ-ศิรอฏบนนรก และปลอดภัยจากสิ่งน่าสะพรึงกลัวต่างๆในวันกิยามะฮฺ นั่นคือวันอีดสำหรับเขา
4.      วันที่เขาได้เข้าสวนสวรรค์ นั่นก็คือวันอีด
5.      วันที่เขาได้มองไปยังพระพักตร์แห่งพระผู้อภิบาลของเขา นั่นก็คือวันอีด
เคาะลีฟะฮฺผู้ทรงยุติธรรมและปราดเปรื่องท่านหนึ่ง นั่นคือท่านอุมัรฺ บิน อับดุลอะซีซ เราะฎิยัลลอฮุอันฮุ ได้เห็นลูกของท่านที่ชื่อ อับดุลมะลิก สวมเสื้อผ้าเก่าและขาดวิ่นในวันอีด ทำให้ท่านถึงกับร้องไห้ ดังนั้น เมื่อลูกชายคนของท่านเห็นเช่นนั้น จึงถามว่า “ท่านพ่อ ร้องไห้ทำไมครับ ?” ผู้เป็นพ่อจึงตอบลูกว่า “พ่อเกรงว่า ลูกจะออกไปเล่นกับพวกเด็กๆ ด้วยเสื้อผ้าที่เก่าและขาดตัวนี้ ซึ่งอาจจะทำให้หัวใจของลูกปวดร้าวได้” ลูกที่ศอลิหฺคนนั้นตอบพ่อผู้อารีของตนไปว่า “ท่านพ่อครับ..แท้จริงหัวใจจะปวดร้าวก็เมื่อได้ฝ่าฝืนพระเจ้าของมัน และการอกตัญญูต่อพ่อและแม่ของเขาต่างหากเล่า! และลูกก็หวังว่าอัลลอฮฺจะทรงพึงพระทัยในตัวลูก ด้วยสาเหตุที่พ่อได้พอใจในตัวของลูกแล้ว โอ้ ท่านพ่อที่รักของลูก” เมื่อเป็นเช่นนั้น ท่านอุมัรฺ จึงโอบลูกชายมาแนบอกแล้วจูบระหว่างสองตาของเขา และขอดุอาอ์ให้ลูกชายคนนี้... ซึ่งปรากฏว่าลูกชายของท่านคนนี้เป็นผู้สมถะที่สุดในบรรดาลูกๆ ทั้งหลาย

แนวปฏิบัติที่อุตริกรรมและเป็นประเพณีที่ผิดๆ บางประการ ที่จำเป็นต้องหลีกห่างจากมันในวันอีด
1.      ความเข้าใจของคนบางกลุ่มที่คิดว่าการทำอิบาดะฮฺทั้งคืนในคืนวันอีดเป็นบทบัญญัติหนึ่งในอิสลาม
2.      การเยี่ยมสุสานต่างๆ ในวันอีดทั้งสอง
3.      การออกจากบ้านของผู้หญิงด้วยสภาพที่ใส่เครื่องหอม เสริมสวย เปิดเผยร่างกาย
4.      การฟังเสียงดนตรีหรือเสียงขับร้องเป็นทำนองที่หะรอม
5.      ละทิ้งการละหมาดญะมาอะฮฺและการนอนหลับในเวลาละหมาด
6.      การกระชับสัมพันธ์เครือญาติและอวยพรแก่พวกเขาโดยใช้การพูดคุยหรือส่งข้อความทางโทรศัพท์เพียงอย่างเดียว โดยไม่ไปเยี่ยมเยียนและกระชับความสัมพันธ์โดยตรง
ดังนั้น มาเถิด มาร่วมกันทำให้วันรื่นเริงของเรา เป็นเทศกาลแห่งความยำเกรง และเป็นช่วงเวลาที่จะมอบให้แก่เครือญาติ การทำความดีงาม การมอบความรักให้แก่กัน และการกระชับความสัมพันธ์กันเถิด  

ที่มา http://www.saaid.net/Doat/hamesabadr/162.htm

วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2556

ขอให้มีความสุขในวัน

ประวัติอีหม่ามทั้ง 4 ในอิสลามสุนหนี่ ตอนที่สอง


   อิมามมาลิก

             นครมะดีนะฮฺเป็นศูนย์การศึกษาอิสลามที่ผลิตอุลามาอ์อย่างต่อเนื่อง ในช่วงปลายศตวรรษแรกแห่งปีฮิจญ์เราะฮฺศักราช ซึ่งเป็นช่วงที่อาณาจักรอิสลามกำลังรุ่งเรืองที่สุด ในขณะที่ยุโรปยังอยู่ในยุคมือ ยุคแห่งอวิชา นครมะดีนะฮฺก็ได้ให้กำเนิดอุลามาอ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นผู้ก่อตั้งสำนักศึกษานิติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางและแพร่หลายทั่วโลก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของสำนัก อะฮฺลุล หะดีษหรือสำนักวจนะนิยม ท่านคือ ท่านคือ มาลิก บิน อนัส อิมามดารุลฮิจญ์เราะฮฺ

1.ชื่อและวงศ์ตระกูล

               ท่านมีชื่อว่า อบู อับดุลลอฮฺ อนัส บิน มาลิก บิน อบีอฺามิรฺ อัลอัศบะหีย์ มาจากเผ่าหิมยัรฺ บิน สะบะ และเผ่ายัชญุบ บิน เกาะหฺฏอน เกิดเมื่อปีศิจญ์เราะฮฺศักราชที่ 95 และเสียชีวิตที่นครมะดีนะฮฺ ในปี 179 เมื่ออายุได้ 84 ปี ครอบครัวของท่านเป็นครอบครัวแห่งวิชาการ ซึ่งทวดของท่านอบูอฺามิรฺเป็นเศาะหาบะฮฺผู้สูงส่งคนหนึ่ง ได้เข้าร่วมทำศึกกับท่านรสูล ศ็อลลัลลอฮุ อลัยฮิ วะสัลลัมในทุกสมรภูมิ ยกเว้นบะดัร ส่วนปู่ของท่านที่ชื่อมาลิก เป็นอุลามาอ์ใหญ่ในสมัยตาบิอีน และเป็นหนึ่งในสี่คนที่หามศพของท่านเคาะลีฟะฮฺอุษมานไปฝังตอนกลางคืน


2.อาจารย์และศาสนุศิษย์

             ท่านเป็นอุลามาอ์ที่มีความรู้กว้างขวางด้านสายรายหะดีษ และด้านนิติศาสตร์หรือฟิกฮ์อิสลามจนกลายเป็นอิมาม(ผู้นำ)ด้านหะดีษและฟิกฮ์ ท่านได้รับการประสาทความรู้จากบรรดาอุละมาอฺตาบิอีนที่ทรงคุณวุฒิมากมาย อาทิเช่น อัซฺซุฮฺรีย์ ยะหฺยา อัลอันศอรีย์ นาฟิอฺ เมาลาอิบนุอุมัร มุหัมมัด บิน อัลมุนกะดิร ฮิชาม บิน อุรฺวะฮฺ สะอีด อัลมักบุรีย์ ฯลฯ ส่วนบรรดาศานุศิษย์ที่อยู่แนวหน้าของท่านได้แก่ อัชชาฟิอีย์ มุหัมมัด บิน อิลรอฮีม ลิน ดีนารฺ อบูฮิชาม อัลมุฆีเราะฮฺ บิน อัลดุรฺเราะฮฺมาน อัลมัคซูมีย์ อัลดุลอะซีซฺ บิน อบีหฺาซิม มะอฺนิน บิน อีสา อัลก๊อซฺซาซฺ อับดุลลอฮฺ บิน มูสา อัลเกาะอฺนะบีย์ ฯลฯ สำหรับผู้ที่ติดตามชีวประวัติของท่านจะพบว่าท่านเป็นยอดอัจฉริยะคนหนึ่ง ซึ่งบรรดาอุลามาอ์ทุกสารทิศต่างมาตักตวงหาความรู้จากท่าน แม้กระทั่งผู้เป็นสหายและอาจารย์ของท่านเอง อาทิเช่น สุฟยาน อัษเษารีย์ สุฟยาน อุยัยนะฮฺ อิบนุล มุบาร็อก อัลเอาซฺาอีย์ เป็นต้น อิมามมาลิกกล่าวด้วยความภาคภูมิใจว่า บรรดาอาจารย์ที่ฉันได้ร่ำเรียนมา ส่วนใหญ่แล้วจะมาถามหาความรู้จากฉันและขอคำชี้ขาดในเรื่องศาสนาจากฉัน

3.ความรู้เกี่ยวกับนิติศาสตร์และคำชม

             1. ชาฟิอีย์กล่าวว่า มาลิกเป็นหุจญะฮฺ (หลักฐาน) ของอัลลอฮฺต่อมัคลูกของท่านท่านกล่าวอีกว่า เมื่อมีการกล่าวถึงอุลามาอ์ มาลิกคือดาว ไม่มีผู้ใดที่เอื้อประโยชน์แก่ ฉันมากกว่ามาลิก
            2. อิบนุมะฮฺดี กล่าวว่า ฉันไม่เห็นมีผู้ใดที่มีสติปัญญาสมบูรณ์ และมีความยำเกรงมากกว่ามาลิก
             3. ยะหฺยา บิน สะอีด อัลก๊อฏฏอน กล่าวว่า ไม่มีชนกลุ่มใดที่มีการรายงานหะดีษที่ถูกต้องมากกว่ามาลิก
             4. บุคอรีย์กล่าวว่า สายรายงานที่ถูกต้องที่สุดคือ สายรายงานจากมาลิก จากนาฟิอฺ จากอิบนุอุมัร

4.ความรู้และจุดยืนที่มั่นคง

             ท่านเป็นคนที่เกลียดในความรู้ที่ชอบใช้ปัญญาเป็นบรรทัดฐานที่สุด และคำถามที่ไร้สาระ ท่านเป็นคนที่ละเอียดอ่อนในด้านการวิจารณ์นักรายงาน มีคนที่เรียบง่าย มีความจำที่ดีเลิศ เป็นคนที่เชิดชูวิชาความรู้และศาสนาอย่างมาก เป็นคนที่มั่นคงในศาสนา ความสุขทางโลกไม่สามารถมาหลอกล่อและยั่วยวนท่านได้เลย ท่านไม่เกรงกลัวสุลต่านหรือผู้ปกครอง เป็นคนที่พูดจริงและตรงไปตรงมา ในสมัยการปกครองของอาณาจักรอับบาสิยะฮฺท่านถูกทดสอบด้วยการถูกโบย เพราะท่านไปให้คำชี้ขาดว่าการหย่าเพราะถูกบังคับนั้นไม่เป็นผล ในขณะที่ทางฝ่ายปกครองได้บังคับประชาชนให้คำสาบานด้วยการหย่าภรรยาในขณะที่ให้สัตยาบัน ซึ่งทางฝ่ายปกครองเห็นว่าคำฟัตวาดังกล่าวเป็นการทำลายคำสัตยาบันที่ได้ทำไว้

5.หลักเกณฑ์ในการวิเคราะห์นิติศาสตร์

            ท่านเป็นผู้ที่ได้รับมรดกด้านแนวคิดของสำนักคิดหรือสถาบันการศึกษาอิสลามแห่งนครมะดีนะฮฺอันเป็นสถานที่ประทานวะหฺยูแก่ท่านนบี ดังนั้นจึงเป็นคนที่รอบรู้มากที่สุดเกี่ยวกับแนวคิดด้านนิติศาสตร์ของอุลามาอ์มะดีนะฮฺก่อนหน้าท่าน ซึ่งแนวคิดด้านนิติศาสตร์ส่วนใหญ่ท่านได้รับการประสาทมาจากบรรดาเหล่านั้น ดังนั้นจึงไม่พบว่าท่านได้ทำการบันทึกเกี่ยวกับหลักเกณฑ์หรือแนวทางในการศึกษาและวิเคราะห์นิติศาสตร์แต่อย่างใด ถึงแม้ว่าจะมีการกล่าวถึงบ้างเป็นบางครั้ง ซึ่งพอจะจับใจความได้ดังนี้ คือ อัล- กิตาบ (อัลกุรอาน) สุนนะฮฺ อิจญ์มาอฺ การปฏิบัตของชาวมะดีนะฮฺ กิยาส คำพูดของเศาะหาบะฮฺ ผลประโยชน์ (มะศอลิหฺ) ขนบธรรมเนียมประเพณี(อุรฟ์) การป้องกันไว้ก่อน(สัดดุล ซะรออิอฺ) การเห็นชอบ (อิสติหฺสาน) และอิสติศหฺาบ





   อิมามชาฟีอี
              ท่านอิหม่ามซาฟีอีมีนามแฝงว่า ท่านอาบูอับดุลเลาะห์ เกิดเดือนรอฮับ ปีที่ 160 ฮิจเราะห์ศักราชตรงกับปีที่ 767 มีลาดี
            บิดาของท่านอิหม่ามเป็นชาวฮิยาดและยากจน เพราะเหตุนี้จึงได้อพยพจากนครมักกะห์สู่ประเทศชามและได้พักใช้ชีวิตอยู่ที่มณฑลฆุซซะห์ และมณฑลอัสกอลานี ซึ่งอยู่ในประเทศปาเลสไตย์ปัจจุบัน และต่อมาบิดาของท่านอิหม่ามได้ถึงแก่กรรมในขณะที่ท่านอิหม่ามซาฟีอีมีอายุได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

สืบเชื่อสายจากทางบิดา
             มูฮำหมัด บุตรของท่านอิดริส อิดริสบุตรอับบาซ อับบาซบุตรอุสมาน อุสมานบุตรชาเฟียด์ ซาเฟียอ์บุตรซาอิบ ซาอิบบุตรอับดุยาซีด อับดุยาซีดบุตรฮาซิม ฮาซิมบุตรมุตตอลิบ มุตตอลิบบุตรอัลดิมานาฟ

สืบเชื้อสายจากสามมารดา
             มารดาอิหม่ามสืบเชื้อสายจากตระกูลอาซัด ซึ่งถือเป็นวงค์กระกูลที่มีเกียรติและประเสริฐ ที่ท่านร่อซู้ลลัลเลาะห์ได้ทรงรับรองไว้ว่า อัลอาซัด อัสดุลเลาะห์ การที่ท่านร่อซู้ลได้ฝากอัลอาซัดไปยังคำว่า อัลเลาะห์ ณ ที่นี้นั้น เปรียบได้ดังคำว่า บับตุ้ลเลาะห์ และ นาก่อตุ้ลเลาะห์

ภรรยาของอิหม่ามซาฟีอี
             อิหม่ามได้ทำการสมรสกับพระนางฮามีดะห์ บุตรสาวของท่านนาเฟียอ์ หลานสาวของท่านอุสมาน บุตรท่านอัฟฟาน หลังจากที่ท่านอิหม่ามมาเล็ก ได้สิ้นพระชนม์แล้ว ( ถึงแก่กรรม) อายุของท่านอิหม่ามได้ 30 ปี โดยประมาณ บุตรของอิหม่ามที่สืบเชื้อสายจากตระกูลอุสมาน บุตรท่านอัฟฟานได้แก่ อาบูอุสมาน มูฮำหมัด ส่วนบุตรสาว ได้แก่ ฟาตีมะห์และไซหนับ หากแต่ขณะอาบูอุสมาน มูฮำหมัด นั้น มีตำแหน่งที่สูง เป็นถูงผู้พิพากษาของแคว้นฮาลิบ และอิหม่ามซาฟีอีได้มีลูกชายอีกคนหนึ่งกับภรรยาคนที่สอง ชื่อ ฮาซัน บุตรมูฮำหมัด บุตรอิดริส แต่ฮาซันได้เสียชีวิตขณะยังเด็กอยู่ เอกลักษณ์ประจำตัวที่เด่นชัดของอิหม่าม อิหม่ามซาฟีอีเป็นชายที่สูงใหญ่ มีมารยาทดีเลิศ และท่านเป็นคนรักเพื่อนฝูงและครอบครัว คนรอบข้าง เสื้อผ้าที่สวมใส่สะอาดหมดจด พูดจาฉะฉาน ชอบสร้างความดีต่อเพื่อนบ้าน ชอบย้อมผมสีแดง อ่านกุรอ่านเสียงไพเราะรื่นหู ทั้ง ๆ ที่อายุขณะนั้นท่านมีอายุเพียงแค่ 13 ปีเท่านั้น นักวิชาการ นักปราชญ์ บรรดาอุลามาเหล่านั้นต้องการที่จะหลั่งน้ำตาอันเนื่องมาจากการยำเกรงอัลเลาะฮ์ ก็จึงมีการรวมตัวกันแล้วเอ่ยขึ้นว่า พวกเราทุก ๆ เราไปเถิด ไปหาเด็กคนนั้นเถิด หมายถึง อิหม่ามซาฟีอี เพื่อเราจะได้รับฟังการอ่านคัมภีร์อัลกุรอ่านจากเขา และจะเป็นเหตุให้พวกเราหลั่งน้ำตาเพราะเหตุการฟังการอ่านของเด็กผู้นั้น เมื่อพวกเขาเหล่านั้นได้เดินทางมาถึงที่หมายและได้สดับรับฟังการอ่านและได้ยินเสียงอันไพเราะของอิหม่าม น้ำตาของบุคคลเหล่านั้นก็ได้ไหลล้นเอ่อเต็มหน้าตักของพวกเขาเหล่านั้น อิหม่ามซาฟีอีเมื่อมองเห็นสภาพเช่นนั้นก็จึงหยุดอ่านกุรอ่านเนื่องจากมีความสงสารบุคคลเหล่านั้น ในขณะที่อิหม่ามมีอายุได้ 2 ขวบ มารดาของท่านได้พาอิหม่ามออกเดินทางสู่นครมักกะห์อิมูกัสรอมะห์ มารดาอิหม่ามได้หยุดพักอยู่ที่ และหลังจากนั้นก็มาหยุดพักที่มัสยิดฮารอมที่มีนามว่า ซะอ์มุ้ลคีฟ
             เมื่ออิหม่ามซาฟีอีมีความปราดเปรื่อง มีไหวพริบดี มารดาจึงส่งไปเรียนหัดประพันธ์ หากแต่ว่าสภาพคล่องทางการเงินไม่เพียงพอ จึงเลิก พักการเรียนในขณะหนึ่ง อันเนื่องจากมวลเหตุการบกพร่องดังกล่าวมา จึงเป็นสาเหตุให้ท่านอิหม่ามมีความมุ่งมั่นมานะพยายามศึกษาเล่าเรียนอย่างสุดความสามารถในการศึกษาเล่าเรียน และทำตัวให้ใกล้ชิดต่อคณาจารย์ให้มากที่สุด เพื่อจะได้คำสั่งสอนที่มีน้อยนักที่เด็กวัยเพียงเท่านี้จะสามารถทำได้ ในขณะที่อาจารย์ไม่อยู่ อิหม่ามก็ยังคงทบทวนบทเรียนอย่างต่อเนื่องเหมือนกับอาจารย์ปรากฏตัวอยู่ การปฏิบัติดังกล่าวนั้นจึงทำให้อิหม่ามมีความแตกฉานและด้านวิชาการเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งนักเรียนที่เรียนอยู่ด้วยกันมีความรักท่านและศรัทธาเลื่อมใสในตัวท่าน และเชื่อฟังคำพูดของท่าน เมื่ออิหม่ามมีอายุได้ 7 ปี หรือ 9 ปี ท่านมีความสามารถในการท่องจำกุรอ่านได้หมดทั้งเล่ม หลังจากนั้นท่านได้เข้าศึกษาที่มัสยิดอัลฮารอม ท่านก็ได้มุ่งมั่นทำการศึกษาด้านภาษา วิชาสาขาทุกแขนง จนกระทั่งมีความปราดเปรื่องด้านภาษาอาหรับ เป็นเพราะเหตุที่ได้มารวมกันหลายเผ่าพันธุ์ หลายหมู่เหล่า ที่ได้เข้ามาศึกษาที่มักกะห์ จึงทำเริ่มการศึกษาให้ท่านได้รับส่วนดีจากการสนิทสนมและรู้จักบุคคลหลายหมู่เหล่าหลายภาษาในขณะนั้น ในด้านความรู้อย่างสมบูรณ์แบบและครบวงจร อาทิ วิชาฝึกฮาดิษ ตับซีร และอุลูมอัลกุรอ่าน

อาจารย์ของท่านที่นครมาดีนะห์
              ท่านอิหม่ามซาฟีอีได้เล่าเรียนกับท่านอิหม่ามมาลิก บุตรท่านอานัส ท่านอิบรอฮีมบุตรท่านซาอัด อัสอัสซอรี ท่านอับดุลอาซีซบุตรท่านมูฮำหมัดอัลตราวัสดี อ่านอิบรอฮีมบุตรท่านอาบียะห์ยาอัลอาซาบี ท่านมูฮำหมัดบุตรท่านซาอีด บุตรชายท่านอาบีฮัดบิก ท่านอับดุลเลาะห์บุตรท่านนาเฟียอ์ อัสซออี
อาจารย์ที่ประเทศเยเมน
              ท่านอิหม่ามได้ศึกษาวิชาฝึกฮาดิษจากท่านมูตริฟ บุตรท่านมาซิน ท่านฮีซาม บุตรท่านยูซุฟ ซึ่งท่านเป็นผู้พิพากษาที่ตำบลซอนอาอ์และท่านอุมารบุตรอาบีซาลามะห์ ซึ่งเป็นสาวกของท่านอิหม่ามอาซาดี ท่านยะห์ยาบุตรท่านฮิซานเป็นเพื่อนของท่านลีซบุตรชายซาอัด อาจารย์ที่ประเทศอิรัก

      ได้ศึกษาวิชาอัลฮาดิษ ฟิก อูลูมุ้ลกุรอ่าน จากท่านวาเดียอ์ บุตรชายท่านยัดเราะห์ และท่านอามูอุซามะห์ คือ ฮัมมาด บุตรท่านอุซามะ ซึ่งเป็นเพื่อนของท่านอิสมาอีล บุตรท่านอิลยะห์ อับดุลวาฮาบ บุตรท่านอับดุลมายิด ทั้งหมดนั้นเป็นชาวมัสเราะห์

สรุป
อาจารย์ของท่านอิหม่ามรวมทั้งสิ้น 19 ท่าน
คณาจารย์จากมักกะห์อัลมูกัรรอมะห์ 5 ท่าน
คณาจารย์จากนครมาดีนะห์ 6 ท่าน
คณาจารย์จากเยเมน 4 ท่าน
คณาจารย์จากอิรัก 4 ท่าน
นักเรียนและลูกศิษย์ของท่านอิหม่ามซาฟีอีมีจำนวนมากและที่มีชื่อเสียงอยู่แนวหน้า คือ
อิหม่ามอะหมัดอิบนิฮัมบัล
ท่านฮาซันบุตรมูฮำหมัดอิสซอบบาห์
อัซซะฟารอนี
ท่านฮูเซนอัลการอบีซี
ท่านดาบูซูรเราะห์ หรือ อิบรอฮีม
ท่านอาบูอิบรอฮีม หรือ อิสมาแอล
บุตรยะห์ยาอัลมาซานี
ท่านอาบูมูฮำหมัด หรือ ท่านรอบีอะห์
บุตรสุไลมานอัลยีซี
ท่านอาบูฮัรมาละห์บุตรยะห์ยา
บุตรอับดุลเลาห์อัตตะห์ยีบี
ท่านอาบูบูซุบ หรือ ยูนุส บุตรท่านอับดุลยะอ์ลา
มูฮำหมัดบุตรอับดุลเลาะห์บุตร
อับดุลวาฮิบอัลมิซรี
และท่านสุดท้าย ท่านอับดุลเลาะห์ คือ ซุบีระฮลฮาบีดี
ในวันที่ 28 เดือนเชาวาล ปีที่ 198 ฮิจเราะห์ศักราช อิหม่ามได้ประเทศอียิปต์พร้อมกับท่านอับบาซบุตรมูซา ซึ่งเป็นผู้ปกครองประเทศอียิปต์ขณะนั้น จากการแต่งตั้งของมะมูน ท่านอับบาสมีจุดประสงค์ให้ท่านอิหม่ามพักแรมที่จวนของท่านฐานะแขกผู้มาเยือนและในฐานะนักวิชาการที่มีชื่อเสียงขณะนั้น อิหม่ามปฏิเสธที่จะพัก แต่ปรารถนาที่จะพักที่บ้านวงศ์ญาติของท่าน เพราะปฏิบัติตามการปฏิบัติของท่านนบีมูฮำหมัดซ้อลลอลเลอฮิอาลัยฮิวาลัสลำ ที่พระองค์ไม่ยอมหยุดพักบ้านใคร นอกจากบนีนัจยาดซึ่งเป็นวงศ์ญาติของท่าน อิหม่ามซาฟีอีได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่ม เช่น อัลฮัจยะห์ อัรรีซาละห์ ยามีอัลอิสมิ อัลอุม อิมลาอัสสอฆีร อัลอามาลีอัลกุบรอ อัลบุวัยตี มัสอับของอิหม่ามยึดถือตามอัลกีตามอัสเซ็นนะห์ อัลอิจมาอ์ และอัลดียาส

การถึงแก่อสัญกรรม

            อิหม่ามซาฟีอีใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอียิปต์รวมเวลาถึง 5 ปีกับ 9 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 28 เดือนเชาวาล ปีที่ 198 ถึงปีที่ 204 เดือนรอยับ ท่านเป็นทั้งนักเขียน นักประพันธ์ นักกวี และได้สอนหนังสือนักเรียนนักศึกษา ณ ประเทศแห่งนั้นมาโดยตลอด ต่อมาท่านได้ล้มป่วยโดยมีเลือดกำเดาไหล เหตุมาจากเป็นโรคริดสีดวงทวาร จึงทำให้ร่างกายอ่อนแอ ไม่สามารถออกมาทำการสอนหนังสือแก่นักศึกษาและประชาชนได้ ขณะนั้นท่านมาซาห์ซึ่งเป็นคนหนึ่งในจำนวนลูกศิษย์ของท่านและเอ่ยปากถามท่านอิหม่ามว่า ท่านสบายดีหรือ ท่านอิหม่ามตอบว่า ดี แต่ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าหากฉันสิ้นอายุไปแล้ว ดวงวิญญาณของฉันจะถูกนำไปสวรรค์อันพึงพอใจหรือไปนรกที่ต้องเสียใจ ขณะนั้นท่านก็ได้เพ่งเล็งไปดูผู้ที่อยู่รอบข้างท่านและวงศ์ญาติของท่าน และครอบครัวของท่านว่า เมื่อฉันได้จากโลกนี้ไปแล้ว พวกท่านจงไปหาผู้ปกครองเมืองและจงขอร้องเขาให้มาอาบน้ำฉัน และในท้ายของเดือนรอยับปีที่ 204 ฮิจเราะห์ของคืนวันศุกร์หลังละหมาดอีซา ต่อหน้าลูกศิษย์ของท่านจำนวนหนึ่งที่สำคัญ คือ ท่านรอเบียอ์ ยีซี ต่อการถึงแก่กรรมของท่านอีหม่ามก็ได้กระจายปกคลุมไปทั่วแคว้นแดนอียิปต์ เมื่อทุก ๆ คนได้รับทราบข่าว ต่างก็เศร้าโศกเสียใจเป็นล้นพ้น จึงได้ออกมาเพื่อแสดงความเสียใจและเพื่อที่จะหาบร่างของท่านไปอยู่ในที่ที่ดีที่สุด ต่อมาทุก ๆ คนก็ต้องผิดหวังมิอาจทำได้อันสืบเนื่องจากประชาชนที่ได้รับทราบข่าวก่อนหน้านี้ได้ออกมาเนืองแน่น
ตอนเช้าของวันศุกร์ผู้ปกครองเมืองก็ได้ออกมาเพื่ออาบน้ำให้อิหม่ามตามที่ได้รับวาซีฮัตเอาไว้ ผู้ปกครองเมืองได้ถามแก่ญาติว่า ท่านอิหม่ามมีหนี้สินบ้างหรือเปล่า ทางญาติจึงตอบว่ามี ผู้ปกครองจึงได้ทำการชดใช้หนี้สินแทนให้แด่อิหม่าม พอใช้หนี้สินเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกล่าวว่า นี่และคือความหมายที่ท่านบอกให้ฉันมาอาบน้ำให้ หลังจากละหมาดอัลฮัสริเสร็จสิ้นแล้ว ศพของท่านอิหม่ามซาฟีอีก็ได้เริ่มเคลื่อนออกจากที่พักและเมื่อได้เคลื่อนศพออกมาถึงที่ถนนที่มีนามว่า ถนนอัสซัมบิดะห์นาฟีซะห์ นางเจ้าของชื่อถนนก็ออกมาและขอให้ผู้ที่แบกหาม ในขณะที่ท่านอิหม่ามซาฟีอีได้ละหมาดอยู่ที่มัสยิดขณะนั้นท่านได้พบกับชายคนหนึ่งนั่งอยู่ระหว่างกุโบร์นบีกับมินบัร หน้าตาสดใส เสื้อผ้าขาวสะอาด ละหมาดได้ถูกต้องสวยงาม ฉันจึงถามคนที่อยู่ที่นั่นว่า คนนั้นชื่ออะไร อยู่ที่ไหน ก็ได้รับคำตอบว่า อยู่ที่อิรัก อิหม่ามซาฟีอีถามว่า ที่ใดของอิรัก เขาตอบว่า เมืองกูฟะห์ อิหม่ามถามว่า ผู้ที่มีความรู้นั้นและสั่งสอนในแก่นแท้ของกุรอ่านและสุนนะของท่านร่อซุ้ลลุ้ลเลาห์สอลลัลลอรุอาลัยฮิวาลัสลัม บอกฉันว่า ท่าน ท่าน มูฮำหมัดบุตรฮาซัน ท่านอาบูยูซุมเพื่อนของอิหม่ามฮานาฟี  อิหม่ามซาฟีอีกล่าวว่า ท่านทั้งหลายจะกลับไปกูฟะห์เมื่อใด พวกเขาทั้งหลายกล่าวแก่ฉันว่า รุ่งสางของวันใหม่ เมื่อเป็นเช่นนั้น ข้าพเจ้าจึงได้ไปหาท่านอิหม่ามมาเล็ก ฉันก็กล่าวแก่ท่านอิหม่ามมาลิกว่า แท้จริงฉันได้ออกจากเมืองมักกะห์เพื่อศึกษาวิชาความรู้โดยไม่ได้รับอนุมัติจากผู้เฒ่าผู้แก่ที่มีเกียรติทั้งหลาย และฉันคงมีโอกาสกลับสู่มักกะห์เพื่อศึกษาเล่าเรียนอีกครั้งหนึ่งหากมีวาสนา อิหม่ามมาลิกกล่าวแก่ฉันว่าท่านไม่ทราบหรือว่าแท้จริงบรรดามาลาอีกะห์ได้ใช้ปีกโอบล้อมแก่ผู้ศึกษาเล่าเรียนเพราะเหตุพึงพอใจผู้ศึกษาเล่าเรียน อิหม่ามซาฟีอีกล่าวว่า ขณะที่ฉันได้ตัดสินใจจะเดินทาง อิหม่ามมาลิกก็ได้เตรียมท่านอิหม่ามให้นำศพของท่านอิหม่ามเข้าบ้าน เพื่อทำการละหมาดให้อิหม่าม หลังจากที่เธอได้ละหมาดเสร็แล้ว จึงขอให้อิหม่ามได้รับความเมตตาจากอัลเลาะฮ์และขอดุอาอ์ให้ หลังจากนั้นศพก็จึงเคลื่อนไปยังกุรอฟะห์ ซึ่งทราบขานกันดีโดยทั่วไปในขณะนั้นว่า ตุรุบะห์เอาลาดอับดุล อิกัม และ ณ ที่นี่ ที่ท่านอิหม่ามได้ถูกฝังอยู่ ณ ที่แห่งนี้ หลังจากฝังแล้ว จึงถูกชายานามใหม่ว่า ตุรบะห์อัซซาฟีอี ตาบจนถึงทุกวันนี้

สรุปชีวะประวัติทางด้านการศึกษาอีกครั้งหนึ่ง
             ปรากฏว่าการออกหาวิชาของอิหม่ามเต็มไปด้วยความยากลำบาก การออกหาวิชาความรู้ขั้นแรกนั้นที่นครมดีนะห์ ได้เล่าเรียนกับอิหม่ามมาลิกและท่องจำมูวัตเตาะอ์และอิหม่ามมาลิกได้ให้เกียรติอิหม่ามซาฟีอีโดยให้อิหม่ามซาฟีอีนั่งแทนที่ของท่านและให้อิหม่ามซาฟีอีอ่านมูวัตให้ประชาชนฟังและอธิบายอย่างชัดเจน อิหม่ามซาฟีอีได้อยู่กับท่านอิหม่ามมาลิกที่มาดีนะห์ประมาณ 8 เดือนการออกเดินทางไปยังอิรัก ( แบกแดด)ตามปกติแล้วชาวอียิปต์จะมุ่งสู่นครมดีนะห์ หลังจากทำฮัจยีเสร็จสิ้นเพื่อทำการละหมาดที่มัสยิดนบีมูฮำหมัดศอลลัลลอฮอะลัยฮิวาซัลลัม เพื่อมารับฟังมูวัตเตาะห์ของอิหม่ามมาลิก อิหม่ามซาฟีอีได้กล่าวว่า ข้าพเจ้าได้สอนมูวัตเตาะแด่เขาเหล่านั้นเพื่อท่องจำ ส่วนหนึ่งจากพวกเหล่านั้นคือ อัลดุลเลาะห์บุตรฮาคัม อัชฮับบุตรกอเซ้ม ท่านลิซบุตรซาอัด

   อิมาม อบูหะนีฟะฮ
              ในช่วงศตวรรษที่สอง และสามแห่งปีฮิจญ์เราะฮฺศักราช ได้กำเนิดสถาบันหรือสำนักศึกษาวิชาการอิสลามด้านนิติศาสตร์(มะซาฮิบ ฟิกฮียะฮฺ) อย่างมากมาย แต่ละสำนักมีวิธีการประยุกต์หรือหลักการศึกษานิติศาสตร์ที่แตกต่างกันไป ใน บรรดาสำนักศึกษานิติศาสตร์ที่เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางและแพร่หลาย ทั่วโลก คือ สำนักศึกษาที่ก่อตั้งโดย อิมามอบูหะนีฟะฮฺ ณ เมืองกูฟะฮฺ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนามของสำนัก อะฮฺลุล เราะยีหรือสำนักคิดนิยม

1. ชื่อและวงศ์ตระกูล
            ท่าน มีชื่อว่า นุอฺมาน บิน ซาบิต บิน ซูฏีย์ อัลกูฟีย์ ปู่ของท่าน ซูฏีย์ เป็นชาวกรุงคาบูลที่อพยพไปยังเมืองกูฟะฮฺ เกิดที่เมืองกูฟะฮฺในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 80 และเสียชีวิตที่เมืองบัฆดาด ในปีฮิจญ์เราะฮฺที่ 150 เมื่ออายุได้ 70 ปี มีอาชีพเป็นพ่อค้าไหม ท่านมีชีวิตอยู่ในรุ่นของอัตบาอุตตาบิอีน ซึ่งทันอยู่ร่วมสมัยกับบรรดาเศาะหาบะฮฺรุ่นเล็กหลายท่าน และตอนเด็กๆท่านเคยเห็น อนัส บิน มาลิก ในช่วงที่อนัสเดินทางไปยังเมืองกูฟะฮฺ

2. อาจารย์และสานุศิษย์
               ท่าน ได้รับการประสาทความรู้จากบรรดาอุละมาอฺตาบิอีนที่ทรงคุณวุฒิมากมาย อาทิเช่น หัมมาด บิน อบีสุลัยมาน สะลิมะฮฺ บิน กุหัยล์ อามิร อัชชะอฺบีย์ อิกริมะฮฺ อะฏออฺ เกาะตาดะฮฺ อัซซุฮฺรีย์ นาฟิอฺ เมาลา อิบนิอุมัร เป็นต้น ส่วนบรรดาศานุศิษย์ที่มีบทบาทในการเผยแผ่แนวคิดหรือมัซฺฮับของท่านได้แก่

             1. กอฎีย์ อบูยูสุฟ (113182 ฮ.ศ.) ซึ่งนับได้ว่าเป็นศิษย์เอกของท่านและมีบทบาทอย่างมากในการเผยแผ่แนวคิดของ ท่านโดยเฉพาะหลังจากที่ท่านได้ดำรงตำแหน่งเป็นกอฎีย์แห่งอาณาจักอับบาสิยะฮฺ
   2. มุหัมมัด บิน หะสัน อัชชัยบานีย์ (132189 ฮ.ศ.) ซึ่งทันศึกษากับอิมามอบูหะนีฟะฮฺช่วงหนึ่ง และศึกษากับอบูยูสุฟ ท่านเป็นคนที่เริ่มแรกเขียนหนังสือนิติศาสตร์ตามแนวทางของสำนักศึกษาของอิมา มอบูหะนีฟะฮฺและเผยแผ่มัน
             3.ซุฟัร บิน อัลฮุซัยล์ (110158 ฮ.ศ.)
              4.อัลหะสัน บิน ซิยาด อัลลุลุอีย์ (133204 ฮ.ศ.)

3. ความรู้เกี่ยวกับนิติศาสตร์และคำชม
1. อิบนุมุบาร็อก กล่าวว่า ฉันไม่เคยเห็นใครมีความรู้เหมือนในด้านนิติศาสตร์กับอบูหะนีฟะฮฺ
2. ยะหฺยา อัลก็อฏฏอน กล่าวว่า ฉันไม่ได้โกหกต่ออัลลอฮฺ ฉันไม่เคยได้ยินแนวคิดของผู้ใดที่ดีกว่าอบูหะนีฟะฮฺ
3. อิมามชาฟิอีย์กล่าวว่า ผู้ใดที่ต้องการจะมีความรู้ที่แตกฉานในด้านนิติศาสตร์ เขาต้องพึ่งพา(แนวคิดของ)อบูหะนีฟะฮฺ)
4. สุฟยาน อัษเษารีย์ กล่าวว่า อบูหะนยีฟะฮฺเป็นผู้ที่ปราดเปรื่องด้านนิติศาสตร์ที่สุดในสมัยท่าน

4. ความสมถะในชีวิต
            ครั้ง หนึ่งอาณาจักรราชวงค์อะมาวียะฮฺต้องการจะแต่งตั้งท่านให้เป็นผู้พิพากษาหรือ กอฎีย์แห่งเมืองกูฟะฮฺแต่ท่านปฏิเสธ จนเป็นเหตุให้เจ้าเมืองกูฟะฮฺกริ้วและโบยท่านวันละ 10หวาย ติดต่อกันถึง 10 วัน และหลังจากที่เห็นถึงความแน่วแน่ของท่านเจ้าเมืองจึงปล่อยท่านไป อิบนุมุบาร็อกกล่าวว่า พวกเจ้าจำได้ไหม ผู้ชายที่มีการหยิบยื่นความสุขสบายทางโลกให้แก่เขาแต่เขากลับหนีห่างจากมันชุรัยก์ อันนะเคาะอีย์กล่าวว่า อบูหะนีฟะฮฺเป็นคนที่เงียบ ชอบครุ่นคิดอยู่เสมอ ไม่ค่อยพูดจากับคนอื่น
5. กฏเกณท์ในการวิเคราะห์หลักนิติศาสตร์
ท่าน เป็นผู้ที่ได้รับมรดกด้านแนวคิดของสำนักคิดหรือสถาบันการศึกษาอิสลามแห่ง เมืองกูฟะฮฺ ซึ่งมีการวางกฏเกณท์หรือหลักการศึกษาและวิเคราะห์หลักนิติศาสตร์อิสลาม ดังนี้ คือ
1. อาศัย อัลกุรอาน สุนนะฮฺ และทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ในการให้คำชี้ขาดด้านนิติศาสตร์เป็นหลักตามลำดับท่านกล่าวว่า ฉันจะปฏิบัติตามอัลกุรอาน ตราบใดที่ฉันพบว่ามีระบุอยู่ในนั้น หากไม่แล้วฉันก็จะปฏิบัติตามที่ระบุอยู่ในสุนนะฮฺ หากฉันไม่พบอยู่ในทั้งสอง ฉันก็จะปฏิบัติตามทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺ ฉันจะเลือกเอาทัศนะที่ฉันพอใจและเห็นด้วยและจะทิ้งทัศนะอื่นๆที่ตรงข้าม ฉันจะไม่มองข้ามทัศนะของพวกเขาเหล่านั้นและหันไปเอาทัศนะของคนอื่นเป็นอัน ขาด แต่เมื่อมีทัศนะด้านนิติศาสตร์ที่มาจากอิบรอฮิม อันนะเคาะอีย์ อัชชะอฺบีย์ อิบนุสีรีน อะอฺฏออฺ สะอีด บิน มุสัยยับ ฉัน(จะไม่ปฏิบัติตามพวกเขา แต่) จะพยายามวิเคราะห์และแสดงความคิดเห็นเสมือนกับที่พวกเขาได้กระทำไว้มีคนถามท่านว่า เมื่อคำพูดของท่านเกิดค้านกับอัลกุรอาน แล้วจะทำอย่างไรท่านตอบว่า พวกเจ้าจงละทิ้งคำพูดของฉันมีคนถามอีกว่า แล้วถ้าคำพูดของท่านค้านกับสุนนะฮฺล๋ะท่านตอบว่า พวกเจ้าจงละทิ้งคำพูดของฉันเสียมีคนถามอีกว่า แล้วถ้าคำพูดของท่านค้านกับทัศนะของบรรดาเศาะหาบะฮฺล๋ะท่านตอบว่า จงละทิ้งคำพูดของฉันเสีย

2. เคาะบัรวาหิดตามทัศนะของอบูหะนีฟะฮฺ เคาะบัรวาหิดหมายถึงหะดีษที่มีสายรายงานที่ไม่ถึงระดับมุตะวาติร อิมามอบูหะนีฟะฮฺได้วางข้อแม้ต่างๆในการรับเอาเคาะบัรวาหิดเพื่อการวิ เคราะห์หุกมหรือหลักนิติศาสตร์ดังนี้คือ

               2.1 ต้องไม่ค้านกับการปฏิบัติของนักรายงาน หมายความว่า หากเนื้อหาของเคาะบัรวาหิดส่วนใดเกิดค้านกับการปฏิบัติของนักรายงานเคาะบัร ดังกล่าวก็ให้ยึดตามการ
         ปฏิบัติของนักรายงานนั้นไม่ใช่ปฏิบัติตามเคาะบัรที่ ได้รายงานไว้ เพราะหากเขาไม่รู้ถึงจุดบกพร่องของเคาะบัรที่ได้รายงานไว้ แน่นอนเขาก็ต้องปฏิบัติตามนั้น
              2.2 ต้องไม่เกี่ยวกับเรื่องที่ทุกคนจำเป็นต้องรู้ เพราะความจำเป็นดังกล่าวทำให้เป็นที่รู้จักกันในหมู่ชนและมีการรายงานที่มาก มายอย่างแน่นอน ดังนั้นเมื่อมีเคาะบัรวาหิด
         เกี่ยวกับสิ่งดังกล่าวจึงถือว่าเป็นเหตุผลหนึ่ง ที่ทำให้รายงานนั้นบกพร่อง
              2.3 ต้องไม่ค้านกับหลักการเปรียบเทียบ(กียาส) และนักรายงานเคาะบัรวาหิดต้องเป็นคนที่แตกฉานในด้านนิติศาสตร์ เมื่อใดที่เคาะบัรวาหิดเพียบพร้อมด้วยข้อแม้ทั้งสามดัง  กล่าว จึงจะสามารถยึดไว้เป็นหลักในการวิเคราะห์เพื่อให้คำชี้ขาดในด้านนิติศาสตร์ ได้ ถึงแม้ว่าจะมีสายงายงานที่อ่อนก็ตาม และรายงานดังกล่าวจะมีน้ำหนักมากกว่ากิยาส และนี่คือบุคลิกเฉพาะของแนวคิดหรือวิธีการวิเคราะห์ด้านนิติศาสตร์ของมัซ ฺฮับหะนะฟีย์ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับหะดีษที่มีสายรายงานที่อ่อนมากกว่ากิยาส
3. การเปิดกว้างในเรื่องของกิยาส ในบรรดาหลักการวิเคราะห์นิติศาสตร์ของอิมามอบูหะนีฟะฮฺคือท่านจะยึดเอาหลัก การเปรียบเทียบหรือกิยาสมาเป็นบรรทัดฐานในการวิเคราะห์นิติศาสตร์อย่างกว้าง ขวางเว้นแต่เรื่องที่เกี่ยวกับหุดูดหรืออาญา และการชดเชยหรือกัฟฟาเราะฮฺ กล่าวกันว่าเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะอิมามอบูหะนีฟะฮฺเป็นคนที่ศึกษาและรายงานหะดีษน้อยกว่าคนอื่นเป็นอย่าง มากถ้าจะเทียบกับบรรดาอิมามคนอื่นๆ ประจวบกับความมัธยัสและท่าทีที่แข็งกร้าวในการรับหะดีษของท่านอันสืบเนื่อง มาจากการแพร่สะพัดของการโป้ปดในเมืองอิรักตอนนั้น

4. การเปิดกว้างในเรื่องของอิสติหฺสาน อิสติหฺสาน (การพิจารณาเห็นชอบด้วยในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง โดยปัญญาเป็นบรรทัดฐาน) เป็นอีกวิธีหนึ่งในการวิเคราะห์และแสดงมติในด้านนิติศาสตร์อิสลามที่อิมามอ บูหะนีฟะฮฺใช้อย่างกว้างขวางและมากกว่าหลักการกิยาสอีก เพราะทุกครั้งที่ท่านพบว่ามีอะซารฺหรือมีรายงานจากเศาะหาบะฮฺคนใดคนหนึ่ง ปฏิบัติในสิ่งที่ไม่มีระบุใน             อัลกุรอานและหะดีษท่านก็จะยึดถืออะซารฺนั้นเป็น บรรทัดฐานในการตัดสินหรือคำชี้ขาดด้านบัญญัติศาสนาทันทีพร้อมกับทิ้งกิยาส

5. การใช้หลักการหลีกเลี่ยง(หิยัล) หลักการหิยัลหรือการหาช่องโหว่ของบัญญัติศาสนาเพื่อหลีกเลี่ยงจากความคับแคบ ของหุกม หรือยกเลิก หรือเปลี่ยนจากหุกมหนึ่งสู่อีกหุกมหนึ่งที่เบากว่า เป็นต้น เป็นอีกหลักการหนึ่งที่อิมามอบูหะนีฟะฮฺนำมาใช้ ซึ่งอุละมาอฺส่วนใหญ่ต่างไม่เห็นด้วยและตอบโต้อย่างแข็งขัน อาทิเช่น อัลบุคอรีย์ซึ่งท่านได้ใส่เรื่อง หิยัล ในหนังสือเศาะหีหฺของท่านเพื่อโต้คนที่ใช้หลักการหิยัลนี้.

6. การแพร่สะพัดของมัซฮับอบีหะนีฟะฮฺ มัซฮับอบูหะนีฟะฮฺเป็นมัซฮับที่แพร่สะพัดไปทั่วหล้าและปัจจุบันมัซ ฮับหะนะฟีย์เป็นมัซฮับที่มีมุสลิมยึดเป็นแนวทางมากที่สุด ซึ่งจะกระจระจายตามประเทศ อิรัก ซีเรีย เลบานอน อินเดีย ปากีสถาน อัฟฆานิสถาน ตุรกี อัลบาเนีย ประเทศแถบอ่าวบัคข่าน         กูกอซฺ และแถบอัฟริกาเป็นบางส่วน

7. หนังสือนิติศาสตร์ตามมัซฮับหะนะฟีย์ หนังสือนิติศาสตร์หรือฟิกฮิที่ใช้เป็นบรรทัดฐานในการอ้างอิงของมัซ ฮับหะนะฟีย์สามารถแบ่งได้ดังนี้
    1. หนังสืออุศูลมัซฮับ มีทั้งหมดหกเล่มซึ่งล้วนเป็นข้อเขียนของท่านมุหัมมัด บิน หะสัน อัชชัยบานีย์ ทั้งสิ้น ได้แก่หนังสือ อัลมับสูฏ อัซซิยาดาต อัลญามิอุศเศาะฆีรฺ อัสสัยรุศเศาะฆีรฺ อัลญามิอุลกะบีรฺ และอัสสัยรุลกะบีรฺ ต่อมาอัลหากิมอัชชะฮีดได้รวบรวมหนังสือทั้งหกเล่มไว้ในหนังสือของท่านที่มี ชื่อว่า อัลกาฟีย์ ซึ่งกลายเป็นหนังสือที่มุอฺตะมัดหรือน่าเชื่อถือที่สุดของมัซฮับฟะนะฟีย์
               2. หนังสือที่มุอฺตะมัดหรือเป็นที่น่าเชื่อถือในการอิงมัซฮับ ที่สำคัญๆได้แก่  1. อัลมับสูฏ ของ อัลสิร็อคสีย์ ซึ่งเป็นการชัรหฺหรืออธิบายขยายความหนังสืออัลกาฟีย์ 2.  มุคตะศ็อร อัฏเฏาะหาวีย์ 3. มุคตะศ็อร อัลกิเราะคีย์
             3. หนังสือแม่บทหรือมุตูนที่มุอฺตะมัด ได้แก่ 1. วิกอยะตุรริวายะฮฺ ฟี มะสาอิลิลฮิดายะฮฺ ของ ตาญุชชะรีอะฮฺ อัลอับบาดีย์ หรือป็นที่รู้จักกันในนาม อัลวิกอยะฮฺ 2. มุคตะศ อรฺอัลกุดูรีย์ 3. กันซุดดะกออิก ของ อบุลบะเราะกาต อันนะสะฟีย์
             4. หนังสือที่ให้ความสำคัญด้านหลักฐานและทัศนะเปรียบเทียบ ได้แก่          1. บะดาอิอุศเศาะนาอิอฺ ของ อัลกาสานีย์ 2. ฟัตหุลเกาะดีร ของ อิบนุลฮัมมาม 3. อัลลุบ บาบ ฟิลญัมอิ บัยนัสสุนนะฮฺ วัลกิตาบ ของ อัลค็อซฺเราะญีย์ 4. นัศบุรรอยะฮฺ ฟีตัครีจ อะหาดีษุลฮิดายะฮฺ ของ ซัยละอีย์

8. ศัพท์เทคนิคที่ใช้ในหนังสือมัซฮับหะนะฟีย์
   - อัลอะอิมมะฮฺ อัลอัรบะอะฮฺ หมายถึง อบูหะนีฟะฮฺ มาลิก ชาฟิอีย์ อะหมัด
   - อะอิมมะตุนา อัษษะลาษะฮฺ หมายถึง อบูหะนีฟะฮฺ อบูยูซุฟ และมุหัมมัด
   - อัชชัยคอน หมายถึง อบูหะนีฟะฮฺ และอบูยูสุฟ
   - อัฏเฏาะเราะฟัยนฺ หมายถึง อบูหะนีฟะฮฺ และมุหัมมัด
   - อัศศอหิบาน หมายถึง อบูยูสุฟ และมุหัมมัด
   - อัศศ็อดรุลเอาวัล หมายถึง เศาะหาบะฮฺ ตาบิอีน และอัตบาอุตตาบิอีน
   - อัสสะลัฟ หมายถึง บรรดาฟุเกาะฮาอฺมัซฮับหะนะฟีย์รุ่นแรกจนถึงมุหัมมัด บิน หะสัน
   - อัลเคาะลัฟ หมายถึง บรรดาฟุเกาะฮาอฺมัซฮับหะนะฟีย์หลังจากมุหัมมัดจนถึง ชัมชุลอะอิมมะฮฺอัลหํลวานีย์
   - อัลมุตะอัคคิรุน หมายถึง บรรดาฟุเกาะฮาอฺมัซฮับหะนะฟีย์หลังจากชัมชุลอะอิมมะฮฺอัลหํลวานีย์ จนถึง หะฟิซุดดีน อัลบุคอรีย์
   - อัลอุสต๊าส หมายถึง อับดุลลอฮฺ บิน มุหัมมัด อัสสุบุซฺมูนีย์
   - บุรฮานุลอิสลาม หมายถึง เราะฎียุดดีน อัสสิร็อคสีย์
   - บุรฮานุลอะอิมมะฮฺ หมายถึง อับดุลอะซีซ บิน มาซัฮฺ ศึ่งบางครั้งจะเรียกว่า อัศศ้อดรุลกะบีร
   - ตาญุชชะรีอะฮฺ หมายถึง มะหมูด บิน มุหัมมัด
   - ชัมชุลชะรีอะฮฺ หมายถึง อัสสิร็อคสีย์
   - ฟัครุลอิสลาม หมายถึง อะลี บิน มุหัมมัด อัลบัซดะวีย์

คัดลอกจาก http://forums.muslimphuket.com/islamic-article/history-of-imam-abuhanifah/